1.  ถ้าคุณไม่คืนรถ  ไฟแนนช์คงฟ้องเรียกคืนรถแน่นอน  เมื่อเขาฟ้องคุณก็ต้องฟ้องแย้งในประเด็นว่าคุณยังไม่ได้รับค่าซ่อมรถ และคุณมีสิทธิยึดรถไว้ได้ ซึ่งเรียกว่า "สิทธิยึดหน่วง"  ซึ่งเป็นสิทธิที่มีกฎหมายรองรับ  คุณจึงไม่ต้องวิตก  ถ้าไฟแนนช์หรือคนซื้อรถ ไม่จ่ายค่าซ่อม ก็ไม่สามารถนำรถออกจากอู่ได้ครับ

2.   ไฟแนนช์หรือผู้ซื้อรถต้องจ่ายค่าซ่อมครับ

3.   ถ้าเขามาขอนำรถออกจากอู่คุณก็เจรจาขอค่าซ่อมรถ  ถ้าเขาไม่จ่ายคุณก็ไม่ยอมให้นำรถออกไป  จุดนี้สำคัญมากเท่าที่พบเห็นไฟแนนช์มักให้นักกฎหมายหรือตำรวจมาขอรถไปเฉยๆโดยอ้างความเป็นเจ้าของหรือบางทีอาจทำนองข่มขู่   มีเจ้าของอู่ที่ไม่ทันเกมมักมอบรถไปอย่างง่ายดายด้วยความไม่ทราบถึงสิทธิยึดหน่วงตามกฎหมาย  เมื่อมอบรถให้เขาไปเจ้าของอู่จะหมดอำนาจในการต่อรองทันที  ค่าซ่อมก็ต้องไปฟ้องเอาเอง  ซึ่งคงยุ่งยาก  ดังนั้นต้องยึดรถไว้จนกว่าจะได้ค่าซ่อมครับ

4. ถ้าไฟแนนช์ฟ้องเรียกรถคืน คุณจำเป็นต้องโต้แย้งว่าคุณยึดไว้เพราะยังไม่ได้ค่าซ่อมรถ  ถ้าไม่ฟ้องแย้งคุณอาจเสียสิทธิในการต่อสู้  ศาลอาจสั่งให้คุณคืนรถแก่ไฟแนนช์ไป    ค่าซ่อมคุณต้องไปฟ้องในภายหลัง  ซึ่งคุณคงค่อนข้างเสียเปรียบ    ฟ้องแย้งเป็นอย่างไรคงต้องให้ทนายความช่วยดำเนินการครับ  ถ้าคุณดำเนินการเองอาจไม่ทันเกมครับ

-คำแนะนำ  อำนาจต่อรองของคุณอยู่ที่การยึดรถเอาไว้   ถ้าปล่อยให้หลุดมือไปคุณจะไม่มีอำนาจต่อรองหลงเหลืออยู่เลย   คดีนี้ผมคาดว่าน่าจะจบลงด้วยไฟแนนช์คงเจรจาต่อรองเพื่อจ่ายค่าซ่อมแก่คุณแน่นอน  ดังนั้นคุณควรทำบันทึกการซ่อมไว้ให้ละเอียดชัดเจน ตั้งแต่การตกลงราคาค่าซ่อม   ค่าวัสดุอุปกรณ์  ค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่นๆในการซ่อมรถ เมื่อมีการเจรจากัน  จะได้สามารชี้แจงได้ว่าคุณเรียกค่าซ่อมราคานี้เหมาะสมเพียงใดหรือไม่ เพราะแน่นอนฝ่ายผู้จ่ายคงหาทางให้จ่ายน้อยที่สุด  ถ้าคุณเตรียมการไว้ก่อน  ก็คงช่วยแก้ปัญหาได้มากครับ