[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
ปัญหาสิทธิการเป็นสามีภรรยา กับเรื่อง ศาสนา | |
ผู้ชายเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม หากจดทะเบียนสมรสกับหญิงไทยนับถือศาสนาพุทธ แต่ไปทำพิธีแต่งงานกับหญิงไทยนับถือศาสนาอิสลาม ปัญหาคือ ผู้หญิงคนไหนมีสิทธิการเป็นภรรยาที่ถูกต้องแท้จริง ตามกฎหมายไทย เนื่องจากมีความสงสัยว่าจะมีเรื่องกฎหมายอิสลาม เข้ามาขัดกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ การที่หญิงไทยพุทธจดทะเบียนสมรสกับชายไทยอิสลามโดยไม่เข้าพิธี จะเกิดการเสียสิทธิการเป็นภรรยาที่ถูกต้องแท้จริง ของไทย หรือไม่ | |
ผู้ตั้งกระทู้ แก้ว :: วันที่ลงประกาศ 2012-06-14 14:14:27 IP : 61.19.98.125 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3289510) | |
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การสมรสที่สมบูรณ์คือการจดทะเบียนสมรส แม้ไม่เข้าพิธีก็ไม่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ.......แต่จะขัดแย้งกับกฎหมายอิสลามหรือไม่ ตอบไม่ได้ เพราะผู้ตอบนับถือศาสนาพุทธ และตอบคำถามโดยยึดหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครับ.....แต่ถ้าเป็นผู้อาศัยอยู่ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ต้องใช้ มาตรา 3-4 แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตต์จังหวัดปัตตานีนราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. ๒๔๘๙ ตามที่ยกมา ในการแก้ไขปัญหาครับ
มาตรา ๓ ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลามศาสนิกของศาลชั้นต้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ซึ่งอิสลามศาสนิกเป็นทั้งโจทก์จำเลยหรือเป็นผู้เสนอคำขอในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการนั้น เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความมรดก ทั้งนี้ ไม่ว่ามูลคดีเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นตามความในมาตรา ๓ ให้ดะโต๊ะยุติธรรมหนึ่งนายนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษา
ให้ดะโต๊ะยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลาม และลงลายมือชื่อในคำพิพากษาที่พิพากษาตามคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้นด้วย
วินิจฉัยชี้ขาดของดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามให้เป็นอันเด็ด
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-06-14 17:18:19 IP : 180.180.156.214 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3289572) | |
อย่างนี้ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็กลายเป็นประเทศย่อมๆ หรือไม่ หากมีคดีข้อพิพาท สาวไทยก็ไม่อาจอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งหรือไม่ น่าสงสัยมากครับ การจดทะเบียนตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะมีผลบังคับในเขตพื้นที่ 4 จังหวัด ที่ใช้กฎหมายอิสลามหรือไม่ หมายความว่ากฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะถูกจำกัดขอบเขต ทั้งนี้รวมกฎหมายอาญาหรือไม่ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สงสัยเหมือนกัน วันที่ตอบ 2012-06-15 08:36:19 IP : 61.19.98.125 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3289632) | |
4 จังหวัดภาคใต้ ที่ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ก็เฉพาะเรื่องครอบครัวและมรดก เท่านั้น เรื่องอื่นๆ ก็ใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามปรกติ รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญา ก็ใช้ตามปรกติใน 4 จังหวัดภาคใต้ คงไม่ถึงกับเป็นการแบ่งเป็นประเทศย่อมๆ แต่เป็นหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จึงยินยอมให้นำเรื่องครอบครัวและมรดก มาใช้ในการแก้ปัญหาของพี่น้องมุสลิม ซึ่งความเชื่อในแต่ละศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าไม่มีโอนอ่อนผ่อนตามกันบ้างในบางเรื่้อง ก็คงมีผลเสียมากกว่าผลดีครับ.....ได้นำแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เทียบเคียงเรื่องที่ถาม ยกมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไปครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8523/2552
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำแก่เด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงนั้นสมรสกัน ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก (เดิม) และวรรคท้าย (เดิม) มีความหมายว่า ในกรณีที่ชายและเด็กหญิงมีอายุไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ยังไม่อาจที่จะสมรสกัน หากจะสมรสกันต้องมีคำสั่งศาลอนุญาตให้ทำการสมรสได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1448 หรือกรณีที่ชายและเด็กหญิงเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามและมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ทำการสมรสกันโดยถูกต้องตามหลักกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก ซึ่งมี พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 อันเป็นกฎหมายพิเศษให้ใช้บังคับแก่ผู้นับถือศาสนาอิสลามในส่วนที่เกี่ยวด้วยครอบครัวและมรดกเฉพาะในสี่จังหวัดดังกล่าวแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 จึงมีผลให้ผู้กระทำผิดในคดีอาญานั้นไม่ต้องรับโทษ
จำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดสตูลทำการสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายอิสลาม จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก (เดิม) แม้จำเลยไม่ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2552
ในการพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น ปรากฏตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า ดะโต๊ะยุติธรรมชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรชายของบุตรชายผู้ตาย ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อนผู้ตาย ดังนี้ ผู้คัดค้านจึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายในลำดับชั้นเดียวกับผู้ร้อง และไม่เป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกก็เพื่อจะให้ผู้นั้นเข้าไปมีอำนาจหน้าที่จัดการรวบรวมและแบ่งทรัพย์สินของผู้ตายซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องมรดก เมื่อคดีเกิดในจังหวัดปัตตานี ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นอิสลามศาสนิกจึงตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลฯ มาตรา 3 และ 4 ซึ่งบัญญัติให้ดะโต๊ะยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและคำวินิจฉัยชี้ขาดดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามนั้นให้เป็นอันเด็ดขาดในคดีนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2551
คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับเรื่องมรดกซึ่งเกิดในจังหวัดปัตตานีและผู้ร้องเป็นอิสลามศาสนิก จึงตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 มาตรา 3 ซึ่งให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามมาตรา 4 วรรคสองและวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้ดะโต๊ะยุติธรรมที่นั่งพิจารณาคดีมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและให้คำวินิจฉัยชี้ขาดนั้นเป็นอันเด็ดขาดในคดีนั้น
เมื่อดะโต๊ะยุติธรรมที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดในข้อกฎหมายอิสลามแล้วว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายอิสลามและคำวินิจฉัยชี้ขาดในข้อกฎหมายอิสลามของดะโต๊ะยุติธรรมดังกล่าวเป็นอันเด็ดขาดตามมาตรา 4 วรรคสาม ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-06-15 15:56:07 IP : 180.180.24.82 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1088211 |