ReadyPlanet.com


ทำงานทุกวัน ไม่ได้โกง แต่เป็นหนี้บริษัท


ดิฉันผ่านการทำงานมาแล้ว 4 บริษัท ซึ่ง 3 ใน 4 บริษัท โดยหน้าที่ ดิฉันต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ หลายประเทศเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ (3 - 7 วัน) ปีละหลายครั้ง (2 - 6 คร้ง) ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนให้เซ็นต์สัญญารับผิดชอบค่าใช้จ่าย เพราะเป็นการไปทำงานจริง ๆ ไม่ใช่ส่งไปเรียน, ดูงาน, ฝึกอบรม

แต่ปัจจุบันดิฉันทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทนี้จะให้พนักงานทุกคนที่จะเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ(โดยส่วนใหญ่ประเทศที่ไป คือ ประเทศญี่ปุ่น ครั้งละ 4 - 7 วัน) เซ็นต์สัญญารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น  ซึ่งตกครั้งละ 50,000 - 60,000 บาท โดยบริษัทแจ้งว่า การคิด คือ จะเฉลี่ยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยแบ่งออกเป็น 6 เดือน หากกลับมาทำงานครบ 6 เดือนก็ไม่ต้องจ่าย แต่หากกลับมาทำงานไม่ครบ 6 เดือน จะต้องจ่ายเงินรับผิดชอบตามจำนวนเดือนที่เหลือ

เมื่อเดือนเมษายน ปี 2553 ครั้งแรกก่อนเดินทาง ดิฉันได้ทราบเรื่องการเซ็นต์สัญญานี้ และได้แจ้งเจ้านาย (เจ้าของกิจการ) ว่า ดิฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ และมันเป็นการไปทำงานอย่างเดียว (บิน 4 - 5 ทุ่ม ไปถึง 7 - 8 โมงเช้า ก็ทำงานเลย) และบริษัทได้รับประโยชน์ตั้งแต่ดิฉันเดินทางไปถึงและลงมือทำงานแล้ว บริษัทไม่ได้ส่งดิฉันไปอบรม/เรืยน แล้วได้ประกาศนียบัตรลงชื่อดิฉัน หรือได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ที่จะติดตัวดิฉันไป และบริษัทจะเสียประโยชน์หากดิฉันลาออก

ดิฉันพูดถึงขนาดว่า มันไม่เป็นธรรม เหมือนกับทำงานทุกวัน แต่เป็นหนี้ ซึ่งหากไปทำงานแล้วต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจำนวนประมาณนั้น สู้ดิฉันเอาเงินจำนวนนั้นไปซื้อทัวร์ไปประเทศญี่ปุ่นเที่ยวไม่ดีกว่าหรือ แล้วฝ่ายบริษัทไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรอในการส่งพนักงานไปทำงาน อีกอย่างโดยหน้าที่และความรับผิดชอบแล้วดิฉันจะต้องเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าที่ญี่ปุ่นปีละประมาณ 2 ครั้ง นั่นเท่ากับว่า ดิฉันไม่มีทางลาออกได้เลย โดยไม่มีหนี้ (มันก็วนกันอยู่ตลอดทุก 6 เดือน) หรือดิฉันขอปฏิเสธไม่ไปทำงานได้หรือไม่

แต่เจ้านายก็บอกว่า สำหรับดิฉัน เขาเข้าใจว่า โดยตำแหน่งหน้าที่ต้องไปทุกครั้ง เขาก็ไม่ให้ดิฉันจ่ายจริงหรอก หากดิฉันจะลาออกอย่างถูกต้องตามกฎบริษัท และเขาก็ยกตัวอย่างถึงพนักงาน 2 คนที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ โดยเซ็นต์สัญญานี้และอยู่หลังจากกลับมาไม่ครบ 6 เดือน และบริษัทก็ไม่ได้เรียกเก็บเงิน (ซึ่งไม่ได้เก็บจริง ๆ ดิฉันสืบทราบมา)

ดังนั้น เขาขอให้เซ็นต์ เพราะไม่อาจยกเว้นให้ดิฉันคนเดียวได้ ซึ่งดิฉันก็เข้าใจ และยอมเซ็นต์ ซึ่ง 2 ครั้งแรกมันผ่านพ้นไปแล้

แต่ครั้งล่าสุดที่เดินทาง คือ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา (กว่าจะครบ 6 เดือน ไม่แน่ใจว่า ตุลาคมหรือพฤศจิกายน)

และเมื่อช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน ดิฉันได้ไปแจ้งลาออก ซึ่งประโยคแรกที่เจ้านายพูดออกมาหลังจากได้ยินดิฉันแจ้งลาออก คือ "ค่าใช้จ่ายที่ไปญี่ปุ่น พี่ไม่เก็บหรอก ตามที่พี่บอกไว้" (ดิฉันยังแอบชื่นชมเจ้านายเลยว่า เป็นคนรักษาคำพูด)

ดิฉันจึงถามต่อว่า กำหนดออก คือ  30 วันหลังจากวันนี้ (ตามกฎบริษัท) โอเคหรือไม่ แต่เจ้านายบอกว่า ไม่พอ และขอเป็น 2 - 3 เดือน หรือจริง ๆ แล้วไม่อยากให้ออก ในที่สุดก็เกิดการต่อรอง ปรับเงินเดือนขึ้น ดิฉันจึงไม่ได้ลาออก

พอมาเดือนกรกฏาคม วันจันทร์ที่ 25 ดิฉันจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นและต้องเซ็นต์สัญญา แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 22 เจ้านายได้เรียกไปคุยถึงการเซ็นต์สัญญาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขา (กลับคำพูด) บอกทำนองว่า จากเหตุการณ์เมื่อสิ้นเดือนมิถุยายนที่ดิฉันแจ้งลาออก แล้วจะให้เวลา 30 วัน เหมือนดิฉันไม่ได้คำนึงถึง การที่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเลย และการให้เวลาแค่ 30 วันก็ไม่พอในการสรรหาและ train คนใหม่ เขาพูดทำนองว่า ระยะเวลาบอกลาออกล่วงหน้าของดิฉันต้องขึ้นอยู่กับว่า เมื่อไหร่ที่จะหาคนใหม่มาแทนดิฉันได้ และดิฉันต้องอยู่สอนงานคนใหม่ 1 เดือนก่อนออกด้วย หากทำได้ตามนั้นเข้าก็จะไม่เก็บค่าใช้จ่าย มิฉะนั้น จะถือว่า การที่ดิฉันไปทำงานที่ญี่ปุ่นและกลับมาทำงานต่อไม่ถึง 6 เดือนนั้น สร้างความเสียหายให้บริษัท (สงสัยอยู่ว่า มันเกี่ยวข้องกันยังไง) ซึ่งจากการยกตัวอย่างของเจ้านายในวันนั้น ระยะเวลาแจ้งล่วงหน้ากินเวลาถึง 3 - 4 เดือนเลยทีเดียว สรุป คือ หากดิฉันจะลาออกทำตามกฎบริษัทแจ้งล่วงหน้า 30 วันก็ไม่พอ (ใจ) และที่แย่ที่สุดคือ ไม่มีขอบเขตเวลาที่แน่นอนให้ดิฉันเลย (ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการปฏิบัติงานของคนใหม่ หรือความพอใจของเจ้านายอย่างเดียว)

หลังจากที่ได้ทราบเรื่องนี้ ดิฉันตัดสินใจว่า วันจันทร์ที่ 25 นี้ ดิฉันจะไม่เซ็นต์สัญญาโดยเด็ดขาด เพราะคำพูดของเจ้านายได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น วิธีการปฏิบัติของดิฉันก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน ซึ่งดิฉันคิดว่า นั่นอาจจะนำพาไปสู่จัดแตกหักได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายดิฉันอาจจะต้องลาออก และตั้งใจไว้ว่า จะให้เวลา 30 วันตามกฎบริษัท ซึ่งดิฉันไม่ได้วิตกเรื่องตกงานแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่ติดค้างในใจ เพราะมันไม่ยุติธรรม คือ เรื่องที่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครั้งที่เดินทางเดินพฤษภาคมในเดือนที่เหลือ (คาดว่า เจ้านายคงจะคิดปรับเงินแน่ เพราะเจ้านายไม่พอใจ)

ทั้งนี้ เขาเพิ่งกลับคำเมื่อ 22 กรกฎาคม หากเขาบอกแบบนี้ก่อนเดินทางเดือนพฤษภาคม ดิฉันไม่เซ็นต์แน่ ๆ ดิฉันขอเรียนสอบถามว่า ดิฉันฟ้องร้องไม่ยินยอมจ่าย ดิฉันเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรคะ

ขอบคุณค่ะ

ทำงานทุกวัน ไม่ได้โกง แต่เป็นหนี้บริษัท



ผู้ตั้งกระทู้ ทำงานทุกวัน ไม่ได้โกง แต่เป็นหนี้บริษัท (jj_ying2002-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-24 15:30:38 IP : 125.24.51.177


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3251481)

เป็นเรื่องของสัญญาจ้าง   ถ้าคิดว่าไม่เป็นธรรม  ก็ฟ้องศาลแรงงานให้วินิจฉัยได้  เรื่องคุณจะได้เปรียบหรือไม่  ไม่สามารถตอบได้  เพราะการมีคดีฟ้องร้อง    ต้องหาพยานหลักฐานมาหักล้างต่อสู้กัน   และเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย  ดังนั้นผลที่ออกมาจึงยากจะคาดการได้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คงคา วันที่ตอบ 2011-07-24 17:48:30 IP : 180.180.26.219



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.