[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
รบกวนเรียนถามต่อเรื่องพินัยกรรม(ตู่) | |
ข้อ 1. เราสามารถระบุในพินัยกรรมว่าให้ลูกๆผู้รับมรดกทั้ง 3 คน เป็นผู้จัดการมรดกร่วมได้หรือไม่ ข้อ 2. ทำไมต้องมีผู้จัดการมรดก ในเมื่อพินัยกรรมได้ระบุชัดเจนว่าลูกคนไหนจะได้ทรัพย์สินอะไร ข้อ 3. คนที่มาเป็นพยานถ้าวันหลังพยานเสียชีวิตลง มีผลต่อพินัยกรรมหรือไม่ ข้อ 4. มีวิธีไหนที่ดีกว่าการทำพินัยกรรม ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ตู่ :: วันที่ลงประกาศ 2012-11-10 07:14:17 IP : 101.109.179.3 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3302878) | |
ข้อ 1. เราสามารถระบุในพินัยกรรมว่าให้ลูกๆผู้รับมรดกทั้ง 3 คน เป็นผู้จัดการมรดกร่วมได้หรือไม่
ตอบ...สามารถทำได้ครับ ตาม ปพพ. ม. 1715 (มาตรา 1715 ผู้ทำพินัยกรรมจะตั้งบุคคลคนเดียวหรือหลายคนให้เป็นผู้ จัดการมรดกก็ได้)
ข้อ 2. ทำไมต้องมีผู้จัดการมรดก ในเมื่อพินัยกรรมได้ระบุชัดเจนว่าลูกคนไหนจะได้ทรัพย์สินอะไร
ตอบ...ผู้จัดการมรดก ก็คือตัวแทนของเจ้ามรดก มีหน้าที่จดทะเบียนโอนทรัพย์สินที่เป็นมรดก ให้แก่ทายาทครับ
ข้อ 3. คนที่มาเป็นพยานถ้าวันหลังพยานเสียชีวิตลง มีผลต่อพินัยกรรมหรือไม่
ตอบ....ค้นดูฎีกา ยังไม่พบเกี่ยวกับประเด็นนี้ ตามความเห็น ถ้าได้ทำพินัยกรรมถูกต้องตามขั้นตอน ปพพ. ม. 1656 พินัยกรรมนั้นย่อมมีผลบังคับ โดยเฉพาะการลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรม ของพยานสองคน ต้องลงลายมือชื่อในขณะนั้น ดังฎีกาที่ยกมาข้างล่าง
ข้อ 4. มีวิธีไหนที่ดีกว่าการทำพินัยกรรม
ตอบ...โอนทรัพย์สินให้แก่บุตรแต่ละคน และจดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ ตลอดชีวิต แม้โอนทรัพย์สินไปแล้ว คุณยังสามารถแสวงหาประโยชน์ในทรัพย์สิน เช่นนำออกให้เช่า และเก็บค่าเช่า เมื่อคุณเสียชีวิตลง บุตรแต่ละคนก็ได้รับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องมากังวลว่า พินัยกรรมจะมีผลบังคับหรือไม่อีกต่อไปครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7199/2552
นายวิษณุรักษ์ บุญส่ง กับพวก โจทก์
นางชูโฉม บุญส่งหรือนราเดช จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 1673, 1674, 1620, 1755
ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมเขียนเองระบุว่า เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วบ้านและที่ดินพิพาทนั้น เจ้ามรดกขอยกให้สิทธิอยู่อาศัยและสิทธิเก็บกินแก่จำเลยมีอำนาจครอบครองและเก็บกินได้จนตลอดชีวิต แต่ถ้าจำเลยถึงแก่ความตายลงเมื่อใดแล้ว ให้บ้านและที่ดินดังกล่าวนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์แก่บุตรที่เกิดจาก ฉ. ทุกคน โดยให้บุตรของ ฉ. ทุกคนมีส่วนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินดังกล่าวนี้เท่ากัน ข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าว เจ้ามรดกมิได้ยกกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย เพียงแต่ให้สิทธิอยู่อาศัยและเก็บกินตลอดชีวิตแก่จำเลยเท่านั้น สิทธิของจำเลยในฐานะผู้รับพินัยกรรมก็มีเพียงตามที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมเท่านั้น ส่วนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทจะต้องตกทอดได้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นบุตรของ ฉ. เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายแล้วตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่ผู้ทำพินัยกรรมระบุให้พินัยกรรมมีผลบังคับให้เรียกร้องกันได้ภายหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1673 ประกอบมาตรา 1674 วรรคสอง จึงต้องถือว่านับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายและข้อกำหนดในพินัยกรรมเฉพาะส่วนของจำเลยมีผลนั้นก็มีผลเพียงให้จำเลยมีสิทธิอยู่อาศัยและเก็บกินในบ้านและที่ดินพิพาทจนตลอดชีวิตของจำเลยเท่านั้น จึงต้องถือว่าจำเลยครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสามผู้รับพินัยกรรมซึ่งมีเงื่อนไขบังคับก่อนและเงื่อนไขนั้นยังไม่สำเร็จเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสามได้ ทั้งนี้เพราะมาตรา 1755 รับรองสิทธิของบุคคลที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่เฉพาะบุคคลซึ่งเป็นทายาทหรือบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาทหรือโดยผู้จัดการมรดกเท่านั้น
จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอรับมรดกบ้านและที่ดินพิพาทมาเป็นของตน เนื่องจากบ้านและที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมระบุยกให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้ว เพียงแต่เงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดให้บ้านและที่ดินพิพาทตกทอดได้แก่โจทก์ทั้งสามยังไม่สำเร็จเพราะจำเลยยังไม่ถึงแก่ความตายเท่านั้น บ้านและที่ดินพิพาทจึงมิใช่ทรัพย์นอกพินัยกรรมอันจะตกทอดแก่จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1620
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2545
ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น เมื่อนาย ว. ซึ่งเป็นพยานในพินัยกรรมคนหนึ่งไม่รับรองลายมือชื่อของผู้ตายซึ่งเป็นผู้ทำพินัยกรรมและมิได้กระทำต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ดังนี้ พินัยกรรมฉบับนี้จึงมิได้ทำขึ้นตามแบบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ย่อมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 ทรัพย์มรดกของผู้ตายจึงตกทอดได้แก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายเสมือนมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-11-10 18:36:02 IP : 101.51.161.192 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3302883) | |
ตามคำตอบของท่านในข้อ 4 โอนทรัพย์สินให้แก่บุตรแต่ละคน และจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เก็บกินไว้ตลอดชีวิต คือวิธีการโอนกรรมสิทธิที่ดินแบบทั่วๆไป แต่จะให้เจ้าหน้าที่ "จดทะเบียนกรรมสิทธิเก็บกินฯ" เพื่อให้เจ้าของมรดกเก็บไว้ต่างหาก ใช่หรือไม่ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จขกท. วันที่ตอบ 2012-11-11 06:28:20 IP : 125.25.98.3 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3302884) | |
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จขกท. วันที่ตอบ 2012-11-11 06:56:38 IP : 125.25.98.3 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3302891) | |
ก็โอนให้บุตรแต่ละคน โดยสงวนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิตของคุณ เมื่อแจ้งความจำนงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เขาก็จะดำเนินการให้...ได้คัดลอกระเบียบ เกี่ยวกับ "สิทธิเก็บกิน" มาให้คุณได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติครับ
ค่าธรรมเนียม
๑. การจดทะเบียนสิทธิเก็บกินโดยไม่มีค่าตอบแทน เป็นการจดทะเบียนประเภทไม่มีทุนทรัพย์ คิดค่าธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท ตาม
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๔๑ ) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ข้อ ๒ (๗) (ฑ)
๒. การจดทะเบียนสิทธิเก็บกินที่มีค่าตอบแทนเป็นการจดทะเบียนประเภทมีทุนทรัพย์ คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์พิจารณาแล้ว ให้ถือเอาค่าตอบแทนที่คู่กรณีตกลงชำระให้แก่กันเป็นราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนตามราคาค่าตอบแทนที่คู่กรณีตกลงชำระให้แก่กันในอัตราร้อยละ ๑ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗
(พ.ศ.๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ข้อ ๒ (๗) (ฏ)
อากรแสตมป์
การจดทะเบียนสิทธิเก็บกินโดยมีค่าตอบแทน พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องเรียกเก็บค่าอากรแสตมป์จากจำนวนค่าตอบแทน ตามประมวลรัษฎากร ตามลักษณะตราสาร ๒๘.(ข) ใบรับแห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ (ตามหนังสือกรมสรรพากร ด่วนมาก ที่ กค ๐๘๑๑/๐๙๘๘๔
ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ซึ่งกรมที่ดินได้แจ้งให้ทราบและถือปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๑๐/ว ๒๔๔๑๗ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๑)
ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
_______________________
คำสั่งที่ ๒/๒๕๐๑
เรื่อง การจดทะเบียนประเภทสิทธิเก็บกิน
ด้วยกรมที่ดินเห็นสมควรวางระเบียบการจดทะเบียนประเภทสิทธิเก็บกิน และประเภทอื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประเภทสิทธิเก็บกินที่ได้
จดทะเบียนไว้แล้ว เพื่อถือเป็นทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ดินแปลงใดต้องตกอยู่ในบังคับสิทธิเก็บกินอันเป็นเหตุให้ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๑๗ ให้คู่กรณีทำบันทึกข้อตกลงและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในประเภท “สิทธิเก็บกิน”
การจดทะเบียนประเภทนี้ ให้จดทะเบียนสามัญ เว้นแต่การจดทะเบียนประเภทซึ่งต่อเนื่องกับประเภทสิทธิเก็บกินซึ่งได้จดทะเบียนพิเศษไว้ก่อนคำสั่งนี้ คงให้จดทะเบียนพิเศษไปตามเดิม เช่น ประเภทเลิกสิทธิเก็บกิน
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. ๑) บันทึกข้อตกลงสารบัญจดทะเบียนประเภท “สิทธิเก็บกิน” ให้ปฏิบัติอนุโลมตามตัวอย่างหมายเลข ๑ - ๒ – ๓
(๒) ในกรณีที่ผู้ทรงสิทธิได้สิทธิเก็บกินมาโดยทางพินัยกรรมให้ผู้ทรงสิทธิยื่นคำขอ (ท.ด.๘) และดำเนินการอย่างเรื่องมรดกที่ดิน อนุโลมตามตัวอย่างหมายเลข ๔ เมื่อครบประกาศไม่มีอะไรขัดข้อง จึงให้จดทะเบียนในประเภท “สิทธิเก็บกิน” ค่าธรรมเนียมในชั้นคำขอให้เรียกอย่างเรื่องประกาศมรดก ในชั้นจดทะเบียนให้เรียกอย่างประเภท “สิทธิเก็บกิน” เว้นแต่เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. ๑) ในประเภท “สิทธิเก็บกิน” ไม่ต้องเรียกค่าคำขออีก และให้หมายเหตุไว้ในคำขอและบัญชีมรดกว่า ได้จดทะเบียนในประเภท “สิทธิเก็บกิน” แล้ว ในการขอรับมรดกการได้มาซึ่งสิทธิเก็บกิน ให้ดำเนินการเป็นเรื่องหนึ่งต่างหากจากเรื่องขอรับมรดกที่ดิน ซึ่งผู้รับมรดกแต่ละเรื่องอาจมาขอให้ดำเนินการในวาระเดียวกันหรือต่างวาระกันก็ได้ แล้วแต่กรณี
(๓) ในกรณีที่ที่ดินได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้แล้ว ต่อมาได้มีการแบ่งแยกออกไป คู่กรณีตกลงยินยอมให้ที่ดินแปลงที่แยกออกไปยังคงมีสิทธิเก็บกินติดไปด้วยก็ดี หรือตกลงกันไม่ให้สิทธิเก็บกินติดไปด้วยก็ดี ให้ปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีครอบจำนองหรือปลอดจำนอง ตามคำสั่ง
กรมที่ดินที่ ๑๔/๒๕๐๐ ลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ เรื่องวิธีการจดแจ้งการครอบจำนอง และวิธีการจดทะเบียนปลอดจำนอง โดยเรียกชื่อว่าประเภท “ครอบสิทธิเก็บกิน” หรือ “ปลอดสิทธิเก็บกิน” แล้วแต่กรณี
(๔) เมื่อได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้แล้ว และสิทธิเก็บกินนั้นยังไม่หมดอายุหากคู่กรณีประสงค์จะเลิกสิทธิเก็บกินต่อกัน ก็ให้ทั้งสองฝ่ายทำบันทึกข้อตกลงและจดทะเบียนเลิกสิทธิเก็บกิน ถ้าสิทธิเก็บกินพ้นกำหนดเวลาแล้ว ให้ถือว่าสิทธิเก็บกินเป็นอันสิ้นไปโดยมิต้องจดทะเบียนเลิกสิทธิเก็บกินอีก
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. ๑) บันทึกข้อตกลงสารบัญจดทะเบียนประเภทเลิกสิทธิเก็บกิน ให้ปฏิบัติอนุโลมตามตัวอย่างหมายเลข ๕ - ๖ - ๗(๕) ในกรณีที่ผู้ทรงสิทธิเก็บกินถึงแก่ความตาย อันเป็นเหตุให้สิทธิเก็บกินต้องสิ้นไปตามมาตรา ๑๔๑๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้จดบันทึกถ้อยคำเจ้าของที่ดินด้วยแบบพิมพ์ ท.ด. ๑๖ ถึงเหตุที่ทำให้สิทธิเก็บกินต้องสิ้นไปโดยยื่นสำเนา
มรณบัตรหรือคำสั่งศาลหรือพยานหลักฐานอื่นที่เชื่อถือได้รับรองว่าผู้ทรงสิทธิเก็บกินได้ตายจริง จึงให้จดทะเบียนเลิกสิทธิเก็บกินได้
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. ๑) และบันทึกถ้อยคำ ให้ปฏิบัติอนุโลมตาม ตัวอย่างหมายเลข ๘ - ๙ ส่วนสารบัญ
จดทะเบียนประเภท เลิกสิทธิเก็บกิน ให้ปฏิบัติอย่างเดียวกับ ตัวอย่างหมายเลข ๗
(๖) เมื่อได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้แล้ว เจ้าของที่ดินเป็นอันหมดสิทธิที่จะให้เช่าที่ดินแปลงนั้นต่อไป สิทธิการให้เช่าเป็นของผู้ทรงสิทธิเก็บกินภายในระยะเวลาแห่งการเป็นผู้ทรงสิทธิ ฉะนั้นถ้าจะมีการให้เช่าที่ดินแปลงนั้น จะต้องทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าระหว่างผู้ทรงสิทธิเก็บกินกับผู้เช่า โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินอย่างใด
(๗) ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนประเภท ”สิทธิเก็บกิน” ประเภท ”เลิกสิทธิเก็บกิน” และประเภท “ปลอดสิทธิเก็บกิน” ให้เรียกเก็บตามกฎกระทรวงฯ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ข้อ ๕ (๕) แปลงหนึ่งรายละ ๑๕ บาท
(๘) ให้ยกเลิกคำสั่งกรมที่ดินและโลหกิจที่ ๑/๒๔๘๔ ลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๔๘๔ เรื่อง วิธีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินและเลิกสิทธิเก็บกิน และคำสั่งอื่นที่มีข้อความอย่างเดียวกัน หรือซึ่งแย้ง หรือขัดคำสั่งนี้
ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันรับทราบคำสั่งเป็นต้นไป
กรมที่ดิน
สั่ง ณ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑
(ลงชื่อ) ถ. สุนทรศารทูล
(นายถวิล สุนทรศารทูล)
อธิบดีกรมที่ดิน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-11-11 13:24:50 IP : 101.51.167.158 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1087519 |