คนเมา
ก็อาจต้องรับโทษ ตาม ปอ. ม.66... ก็ควรแจ้งความไว้ก่อน แต่แม้ไม่แจ้งความ คดีนี้เป็นอาญาแผ่นดิน คือมีการบุกรุก และทำร้ายร่างกาย ตำรวจต้องสืบสวนและสอบสวน เพื่อสรุปสำนวนส่งอัยการ เพื่อฟ้องศาลต่อไป ไม่ต้องไปกลัวคำขู่จากญาติของเขา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแพ้หรือชนะ แต่เป็นเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และถ้าเป็นบ้าจริง ญาติที่มีหน้าที่ดูแล ก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ครับ
มาตรา 65 ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
มาตรา 66 ความมึนเมาเพราะเสพย์สุรา หรือสิ่งเมาอย่างอื่น จะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวตามมาตรา 65 ไม่ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพย์ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมา หรือได้เสพย์โดยถูกขืนใจให้เสพย์ และได้กระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ผู้กระทำความผิดจึงจะได้รับยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้นั้นยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2541
|
|
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้ จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะชี้ขาดในกรณีมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ และจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นต่อมาจึงชอบด้วยกฎหมาย การที่แพทย์เบิกความเป็นพยานในชั้นที่ศาลชั้นต้นจะต้องชี้ขาดว่า สภาพของจำเลยในขณะที่ถูกฟ้องคดีนี้สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14โดยแพทย์เบิกความเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2536 ว่า จำเลยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี 2532 ตรวจพบว่าจำเลยเป็นโรคจิตเภทขณะตรวจพบว่าจำเลยมีอาการวิตกกังวล ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างต่อเนื่อง จากสภาพของจำเลยขณะที่ตรวจ แพทย์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นโรคทางจิตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้เมื่อไม่มีปรากฏความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยระหว่างเกิดเหตุ และเมื่อศาลชั้นต้นนัดพร้อมกลับปรากฏข้อเท็จจริงต่อหน้าศาลว่า จำเลยสามารถถามตอบต่อศาลได้ ดังนี้ ความเห็นของแพทย์ดังกล่าวจึงยังไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน อันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางหลอ อยู่เย็นหรือน้ำใจดี มารดาของเด็กหญิงละอองดาว น้ำใจดี ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ก่อนพิจารณาคดีศาลชั้นต้นมีอำนาจชี้ขาดถึงการเจ็บป่วยของจำเลยด้วยหรือไม่ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจของศาลไว้ว่า ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้ศาลสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้นแล้วเรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้การว่าตรวจได้ผลประการใดในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ให้งดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ จึงเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจตามกฎหมายชี้ขาดในกรณีมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดแล้วว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้และจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นต่อมาจึงชอบด้วยกฎหมาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมีน้ำหนักและเหตุผลดี ฟังได้ว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธขู่บังคับในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามฟ้อง ที่จำเลยนำพยานมาสืบว่า จำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้องนั้นเป็นการนำสืบกล่าวอ้างเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วม
ที่จำเลยฎีกาว่า แพทย์เบิกความเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2536ว่า จำเลยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี 2532 ตรวจพบว่าจำเลยเป็นโรคจิตเภทขณะตรวจพบว่า จำเลยมีอาการวิตกกังวล ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างต่อเนื่องจากสภาพของจำเลยขณะที่ตรวจแพทย์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นโรคทางจิต และไม่สามารถต่อสู้คดีได้แสดงว่าจำเลยเป็นโรคจิตมาตั้งแต่ปี 2532 จนกระทั่งเกิดเหตุกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยควรได้รับยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 เห็นว่า การที่แพทย์เบิกความดังกล่าวเป็นการเบิกความเป็นพยานในชั้นที่ศาลชั้นต้นจะต้องชี้ขาดว่าสภาพของจำเลยขณะที่ถูกฟ้องคดีนี้สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ไม่ปรากฏความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยระหว่างเกิดเหตุและเมื่อศาลชั้นต้นนัดพร้อมกลับปรากฏข้อเท็จจริงต่อหน้าศาลว่าจำเลยสามารถถามตอบต่อศาลได้ ดังนี้ ความเห็นของแพทย์ดังกล่าวจึงยังไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคหนึ่งดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน (จำคุกตลอดชีวิต)
|