มาตรา ๕๙/๑
Q: ในกรณีมีผู้ยื่นคำร้องว่าถูกเจ้าพนักงานค้นบ้านและยึดทรัพย์สินไป ซึ่งทรัพย์สินนั้นตนเองมีสิทธิยึดหน่วงทางแพ่งไม่ใช่เรื่องทางอาญา และขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ศาลควรจะดำเนินการอย่างไร
A: ศาลควรไต่สวนคำร้องโดยให้ผู้ร้องแสดงพยานหลักฐานและถึงแม้ว่าจะเป็นการค้นโดยมีหมายค้นของศาลก็ตาม ศาลควรออกหมายเรียกเจ้าพนักงานที่ทำการค้นนั้นมาไต่สวนเพิ่มเติม ว่ามีเหตุที่จะออกหมายค้นได้ตามมาตรา ๕๙/๑ ประกอบมาตรา ๖๙ หรือไม่ เนื่องจากในชั้นไต่สวนคำร้องขอออกหมายค้นเป็นการไต่สวนพยานหลักฐานฝ่ายเดียว ข้อเท็จจริงอาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือถ้าเป็นการค้นโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล เจ้าพนักงานได้ปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา ๙๒ หรือไม่ และหากฟังได้ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ร้องน่าจะได้กระทำความผิดอาญาหรือการค้นกระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลมีอำนาจสั่งคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไปนั้นแก่ผู้เสียหายได้
มาตรา ๖๖
Q: การจับหรือขังพยานหรือบุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓๗ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๖๖ และมาตรา ๗๑ หรือไม่
A: บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่กล่าวถึงข้างต้นใช้เฉพาะการจับหรือขังในคดีอาญา ถ้าเป็นการจับหรือขังบุคคลตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติดังกล่าว หากแต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๗๑
Q: การขอฝากขังถ้าผู้ต้องหาคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหากระทำความผิดหรืออ้างว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดศาลต้องไต่สวนตามข้อคัดค้านของผู้ต้องหาก่อนหรือไม่
A: เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๒๓๗ และ ป.วิ อาญา มาตรา ๗๑ กำหนดว่า การที่ศาลจะออกหมายขังตามมาตรา ๘๗ (ขังระหว่างสอบสวน) และ ๘๘ (ขังระหว่างพิจารณา) ต้องปรากฏว่ามีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหานั้นน่าจะได้กระทำความผิดและถ้าเป็นความผิดไม่ร้ายแรงต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นประกอบด้วย ดังนั้น ในการยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดและถ้าเป็นความผิดไม่ร้ายแรงต้องแสดงให้เห็นด้วยว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น ดังนั้น ศาลจะพิจารณาแต่เพียงว่ามีความจำเป็นต้องขังผู้ต้องหานั้นไว้เพื่อทำการสอบสวนหรือไม่ไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาว่าการจับเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเหตุที่จะออกหมายขังได้หรือไม่ก่อน แม้ผู้ต้องหานั้นจะไม่ได้คัดค้านแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ต้องหานั้นเป็นผู้ที่ศาลได้ออกหมายจับไว้ก่อนแล้วและเจ้าพนักงานจับผู้ต้องหานั้นมาตามหมายจับไม่น่าจะเป็นภาระแก่พนักงานสอบสวนในการเสนอพยานหลักฐานต่อศาลเท่าใดนักเพราะสามารถอ้างอิงหลักฐานเดิมที่เสนอไว้ในชั้นยื่นขอออกหมายจับได้ เว้นแต่ผู้ต้องหาจะมีพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าข้อมูลหรือหลักฐานของพนักงานสอบสวนที่เสนอต่อศาลในชั้นแรกนั้นเป็นเท็จหรือไม่ถูกต้อง
Q: ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ และจำเลยไม่ได้ถูกคุมขังระหว่างสอบสวนเพราะจำเลยเข้ามอบตัวและพนักงานสอบสวนไม่ได้ควบคุมตัวหรือเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนสั่งปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีการขอฝากขังต่อศาล ครั้นเมื่อศาลประทับฟ้องของโจทก์แล้วจะสั่งขังจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาทันทีดังเช่นที่เคยปฏิบัติได้หรือไม่
A: ถึงแม้ว่ามาตรา ๘๘ กำหนดว่า
.คดีที่พนักงานอัยการโจทก์ เมื่อได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวก็ได้ แต่การออกหมายขังตามมาตราดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๗๑ ซึ่งให้นำบทบัญญัติมาตรา ๖๖ เรื่องเหตุที่จะออกหมายจับ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น แม้ศาลจะมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว แต่ถ้าคดีนั้นยังไม่ได้มีการไต่สวนมูลฟ้องหรือเสนอพยานหลักฐานใด ๆ ต่อศาล หากศาลจะออกหมายขังจำเลยจะต้องปรากฏหลักฐานตามสมควรว่า จำเลยน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และหากเป็นความผิดไม่ร้ายแรงต้องมีเหตุอันควรเชื่อด้วยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือจะไป ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น จึงจะออกหมายขังได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าพนักงานอัยการโจทก์ประสงค์จะขอให้ขังจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาจะต้องร้องขอมาพร้อมคำฟ้องและแสดงพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาลก่อน ศาลจึงจะออกหมายขังจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาได้
มาตรา ๘๓
Q: ในกรณีที่ราษฎรเป็นผู้จับและแจ้งให้เจ้าพนักงานไปรับตัวผู้ถูกจับ ณ สถานที่จับกุมเจ้าพนักงานดังกล่าวต้องดำเนินการตามมาตรา ๘๓ วรรคสองหรือไม่
A: กรณีตามปัญหาเป็นเรื่องที่ราษฎรเป็นผู้จับเพียงแต่ราษฎรนั้นไม่ได้นำผู้ถูกจับ ไปส่งยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยตรง หากแต่ติดต่อให้เจ้าพนักงานไปรับตัว ผู้ถูกจับทันที ณ สถานที่จับกุม เมื่อได้ส่งมอบผู้ถูกจับให้แก่เจ้าพนักงานแล้ว ถือได้ว่า เจ้าพนักงานผู้นั้นเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งรับมอบตัวและต้องปฏิบัติตามมาตรา ๘๔ (๒) โดยเจ้าพนักงานต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้จับและพฤติการณ์ แห่งการจับ พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิต่าง ๆ ให้ผู้ถูกจับทราบ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถกลับไปดำเนินการ ณ ที่ทำการของเจ้าพนักงานนั้นก็ได้ แต่ถ้าเจ้าพนักงานนั้นประสงค์จะสอบปากคำผู้ถูกจับ ณ สถานที่จับกุมก็ต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับทราบตามมาตรา ๘๔ (๒) ก่อน มิฉะนั้น ถ้อยคำดังกล่าวไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นตามมาตรา ๘๔ วรรคสี่
Q: เหตุใดในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับจะต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาถึงสองครั้ง คือ ณ สถานที่ทำการจับกุมครั้งหนึ่งและ ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวนที่นำ ผู้ถูกจับไปส่งอีกครั้งหนึ่ง
A: ตามกฎหมายเดิมในขณะจับกุม เจ้าพนักงานผู้จับมีหน้าที่แจ้งเพียงว่าผู้ที่จะถูกจับนั้นจะต้องถูกจับโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือแสดงหมายจับ (แม้จะมีหมายจับ) ซึ่งอาจ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าพนักงานและผู้ถูกจับได้ กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกจับทราบ ตั้งแต่ขณะทำการจับกุมเพื่อให้ผู้ถูกจับทราบถึงเหตุที่ต้องถูกจับ อย่างไรก็ตาม ในขณะ จับกุมเจ้าพนักงานผู้จับอาจยังไม่สามารถตรวจสอบและแจ้งข้อกล่าวหาได้อย่างถูกต้องครบถ้วน กฎหมายจึงได้คงหลักการที่ให้มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบอีกครั้งหนึ่งเมื่อไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนแล้ว เพื่อให้โอกาสแก่ผู้จับกุมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ครบถ้วนและแจ้งข้อกล่าวหาได้อย่างถูกต้อง
มาตรา ๘๔
Q : ถ้อยคำที่เป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับหรือถ้อยคำอื่นของผู้ถูกจับที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานในชั้นจับกุม (โดยที่ไม่มีการแจ้งสิทธิตามมาตรา ๘๓ วรรคสอง และมาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง) ซึ่งกระทำก่อนวันที่กฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗) ศาลจะรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
A : ตามมาตรา ๒ ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ กำหนดให้กฎหมายมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติมาตรา ๑๓๔/๑ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่เท่านั้นที่ให้ใช้บังคับต่อเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ดังนั้น มาตรา ๘๔ วรรคสี่ จึงมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ และใช้บังคับแก่คดีทุกคดีรวมทั้งคดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวนหรือค้างพิจารณาอยู่ในศาลซึ่งได้เริ่มทำการสอบสวนหรือพิจารณามาก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ และใช้บังคับแก่การดำเนินการหรือกระบวนพิจารณาที่ต้องกระทำตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไปเท่านั้น โดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการใดๆ ที่ได้กระทำไปก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใชับังคับ กล่าวคือ การใดที่ได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ก่อนก็ยังคงชอบด้วยกฎหมายอยู่เช่นเดิม ไม่จำเป็นต้องกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือดำเนินการใหม่ ซึ่งเป็นหลักทั่วไปของการบังคับใช้กฎหมายวิธีสบัญญัติ ดังนั้น ถ้อยคำที่เป็นคำรับสารภาพหรือถ้อยคำอื่นใดของผู้ถูกจับที่เจ้าพนักงานได้มาโดยชอบภายใต้หลักกฎหมายเดิมยังคงต้องถือว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายแม้วิธีการได้มาจะแตกต่างไปจากกฎหมายที่แก้ไขใหม่ แต่การจะรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการรับฟังนั้นจะเป็นการขัดแย้งกับหลักการรับฟังพยานหลักฐานตามกฎหมายใหม่หรือไม่ ซึ่งต้องแยกพิจารณาระหว่างถ้อยคำที่เป็นคำรับสารภาพกับถ้อยคำอื่น เนื่องจากมีหลักการในการรับฟังแตกต่างกัน
๑. กรณีที่เป็นคำรับสารภาพ กฎหมายใหม่ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดโดยเด็ดขาดโดยถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือในตัวเองทำนองเดียวกับถ้อยคำที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยการจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญ ถึงแม้การสอบถามถ้อยคำรับสารภาพนั้นเจ้าพนักงานกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่อาจทำให้ถ้อยคำนั้นกลายเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ ดังนั้น คำรับสารภาพของผู้ถูกจับในชั้นจับกุมที่ให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ แม้จะได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายเดิม ก็ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นได้
๒. กรณีที่เป็นถ้อยคำอื่น กฎหมายใหม่ไม่ได้ห้ามรับฟังโดยเด็ดขาดเพียงแต่วางบทลงโทษหรือสภาพบังคับไว้โดยไม่ให้รับฟังถ้อยคำดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ถ้าเจ้าพนักงานไม่แจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับทราบก่อนตามที่กฎหมายบัญญัติ เสมือนหนึ่งว่าเป็นพยานที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้ามีการแจ้งสิทธิถูกต้องก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือดังเช่นคำรับสารภาพข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าพนักงานผู้จับหรือเจ้าพนักงานผู้รับมอบตัวปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย การไม่รับฟังถ้อยคำเหล่านี้จึงอยู่บนพื้นฐานว่าเจ้าพนักงานได้ถ้อยคำนั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น เมื่อถ้อยคำของผู้ถูกจับที่ให้ต่อเจ้าพนักงานในชั้นจับกุมก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ แม้ไม่ได้มีการแจ้งสิทธิ ก็ถือเป็นถ้อยคำที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวจึงไม่ได้ขัดแย้งกับหลักการของมาตรา ๘๔ วรรคสี่ ที่แก้ไขใหม่แต่ประการใด (แนวทางการวินิจฉัยทำนองนี้น่าจะปรับใชัได้กับการรับฟังถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนซึ่งได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับเนื่องจากหลักการตามมาตรา ๑๓๔/๔ วรรคสาม เป็นอย่างเดียวกับหลักการในข้อนี้ )
มาตรา ๘๗
Q : ในระยะเริ่มแรกที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ มีคดีที่อยู่ระหว่างการฝากขังจำนวนมาก ที่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้จัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาตามมาตรา ๑๓๔/๑ วรรคหนึ่ง (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา) ในการไต่สวนคำร้องขอฝากขังตามมาตรา ๘๗ วรรคสามและวรรคเจ็ด ศาลมีหน้าที่ต้องสอบถามความประสงค์และแต่งตั้งทนายความให้แก่ผู้ต้องหาตามมาตรา ๘๗ วรรคแปด ทุกกรณีหรือไม่
A: กรณีตามมาตรา ๘๗ วรรคแปด เป็นกรณีที่ผู้ต้องหาต้องร้องขอ ซึ่งแตกต่างจากมาตรา ๑๓๔/๑ และมาตรา ๑๗๓ ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและศาลต้องตั้งทนายความให้หรือต้องถามว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องการทนายความหรือไม่แล้วแต่กรณี โดยที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นไม่ต้องร้องขอ ดังนั้น โดยปกติศาลจึงไม่มีหน้าที่ต้องถาม ผู้ต้องหาในเรื่องนี้ แต่ถ้าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะมีทนายความตามมาตรา ๑๓๔/๑ และพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๔/๑ เมื่อผู้ต้องหานั้นร้องขอต่อศาล ศาลต้องแต่งตั้งทนายความให้ก่อนทำการไต่สวน ซึ่งถ้าไม่สามารถจัดหาทนายความให้ได้ย่อมส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคำร้องขอฝากขัง ในกรณีเช่นว่านี้จึงควรกำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาตามมาตรา ๑๓๔/๑ ให้เรียบร้อยก่อนยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลตามมาตรา ๘๗
Q: ระยะเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจควบคุมผู้ถูกจับไว้ จะนับรวมเวลาเดินทางตามปกติที่ต้องนำตัวผู้ถูกจับจากที่ทำการของพนักงานสอบสวนไปศาลด้วยหรือไม่
A: เนื่องจากมาตรา ๘๗ ที่แก้ไขใหม่ได้ตัดข้อความที่ว่า ...แต่มิให้นับเวลาเดินทางตามปกติที่นำตัวผู้ถูกจับมาศาลรวมเข้าในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนั้นด้วย
ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงต้องนำผู้ถูกจับไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับ มาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยนับรวมเวลาเดินทางดังกล่าวด้วย แต่ถ้ามีเหตุ สุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ ก็อาจขยายเวลาออกไปได้จนกว่าเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นนั้นจะสิ้นสุดลงตามมาตรา ๘๗ วรรคสาม
Q: เจ้าพนักงานยื่นคำร้องขอฝากขังโดยอ้างว่าอยู่ระหว่างเสนอสำนวนให้ ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเป็นเหตุที่จะอนุญาตให้ฝากขังได้หรือไม่
A: การยื่นคำร้องขอฝากขังตามมาตรา ๘๗ ต้องมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกรณีตามคำถามหากเป็นความจริงอาจถือว่าเป็นเหตุจำเป็นประการหนึ่งที่ศาล จะอนุญาตให้ฝากขังได้ แต่ระยะเวลาที่ศาลจะอนุญาตต้องกำหนดให้ตามความจำเป็นแห่งกรณี ซึ่งกรณีเช่นนี้ศาลควรไต่สวนผู้ร้องขอเพื่อกำหนดเวลาให้เท่าที่เห็นว่าจำเป็นได้
มาตรา ๑๐๘/๑
Q: เหตุใดจึงต้องแจ้งคำสั่งไม่ปล่อยชั่วคราวให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยรวมทั้งผู้ยื่น คำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวทราบเป็นหนังสือ และควรดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
A: ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกขังและ ไม่สะดวกแก่การที่จะตรวจสอบรายละเอียดของเหตุผลในคำสั่งศาลเพื่อใช้สิทธิใน การอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลแจ้งคำสั่งไม่ปล่อยชั่วคราว ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยรวมทั้งผู้ยื่นคำร้องขอทราบเป็นหนังสือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับทราบถึงเหตุผลของคำสั่งเช่นว่านั้นและสามารถจัดทำอุทธรณ์ได้อย่างถูกต้อง ส่วนวิธีการแจ้งคำสั่งนั้น เพื่อความรวดเร็วอาจใช้วิธีถ่ายสำเนาคำสั่งและมอบให้ เจ้าพนักงานผู้ควบคุมนำไปมอบแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยทำหลักฐานการรับส่งไว้ให้ชัดเจนก็ได้
มาตรา ๑๑๙
Q: ตามมาตรา ๑๑๙ วรรคสอง ที่กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีมีอำนาจออกหมายบังคับคดีผู้ผิดสัญญาประกัน และให้ถือว่าหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา นั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร
A: ปัญหาเกี่ยวกับการบังคับคดีผู้ถูกปรับตามสัญญาประกันในปัจจุบันคือ เรื่องของความล่าช้าในขั้นตอนของการออกหมายบังคับคดีและการนำยึด เนื่องจากมีหลายศาลต้องรอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอออกหมายบังคับคดีก่อนจึงจะออกหมายได้ ส่วนการนำยึดพนักงานอัยการมักจะปฏิเสธว่าไม่มีหน้าที่ต้องทำ ทำให้มีกรณีค้างบังคับคดีอยู่เป็นจำนวนมากและมีหลายคดีที่ผู้ถูกปรับตามสัญญาประกันตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นหรือตกเป็นบุคคลล้มละลายและในคดีเหล่านั้นมีการนำยึดทรัพย์ซึ่งเป็นหลักประกันไปขายทอดตลาดเป็นเหตุให้สำนักงานศาลยุติธรรมตกอยู่ในฐานะที่ต้องไปขอเฉลี่ยทรัพย์หรือขอรับชำระหนี้ในคดีเหล่านั้น ทำให้ได้รับความเสียหาย ดังนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งปรับนายประกันแล้วสามารถออกหมายบังคับคดีได้ทันที และให้ผู้อำนวยการประจำศาลมีหนังสือแจ้งการนำยึดพร้อมทั้งส่งโฉนดที่ดินหรือหลักฐานแสดงสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเร็ว ก็เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันไว้แล้ว และสามารถดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ไม่ได้ยกเลิกหรือมีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการเกี่ยวกับการบังคับคดีผู้ถูกปรับตามสัญญาประกันที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยพนักงานอัยการแต่อย่างใด
มาตรา ๑๓๔
Q: ในกรณีที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังโดยหมายของศาลอยู่ในคดีอื่น และพนักงานสอบสวนอีกครั้งหนึ่งได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหานั้นทราบแล้ว หากพนักงานสอบสวนในคดีหลังประสงค์จะควบคุมผู้ต้องหานั้นไว้ในคดีหลังด้วยเพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องหาหลบหนี จะมีวิธีดำเนินการอย่างไร
A: พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการได้สองทาง คือ
ประการแรก ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหานั้นไว้ก่อน โดยแสดงให้ศาลเห็นว่ามีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดและถ้าเป็นความผิดไม่ ร้ายแรงต้องแสดงให้เห็นด้วยว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น ซึ่งเงื่อนไขประการหลังนี้น่าจะหาข้อมูล ได้จากคดีที่ผู้ต้องหานั้นถูกคุมขังอยู่ เพราะคดีนั้นหากไม่มีเหตุดังกล่าวศาลจะออกหมายขังไม่ได้
ประการที่สอง นำมาตรา ๑๓๔ วรรคห้า มาใช้บังคับแต่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม โดยขอให้ศาลเบิกตัวผู้ต้องหานั้นมาศาล เพราะผู้ต้องหานั้นถูกคุมขังไม่อาจมาศาลด้วยตนเอง และเมื่อเบิกตัวผู้ต้องหามาแล้ว พนักงานสอบสวนมีอำนาจขอฝากขังผู้ต้องหานั้นได้ตามมาตรา ๘๗ เช่นเดียวกับการขอฝากขังผู้ถูกจับ
Q: คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง หรือคดีในศาลจังหวัดที่ต้องใช้วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง จะนำมาตรา ๑๓๔ วรรคห้า มาใช้บังคับได้หรือไม่ และต้องดำเนินการอย่างไร
A: ตามมาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง ฯ กำหนดให้นำกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไปใช้บังคับ ในกรณีที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง ฯ ไม่มีบทบัญญัติที่จะใช้บังคับ ได้โดยตรง ดังนั้น เมื่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง ฯ ไม่มีบทบัญญัติลักษณะอย่างเดียวกับมาตรา ๑๓๔ จึงต้องนำมาตรา ๑๓๔ วรรคห้าไปใช้บังคับ กล่าวคือ ในคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงหรือคดีที่ต้องใช้วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงบังคับหากพนักงานสอบสวนเห็นว่า มีเหตุที่จะขังผู้ต้องหาในระหว่างสอบสวนก็อาจสั่งให้ผู้ต้องหานั้นไปศาลเพื่อขอฝากขังได้เช่นกัน แต่วิธีการร้องขอฝากขัง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง ฯ มีระบบการผัดฟ้องฝากขังบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘ พนักงานสอบสวนจึงต้องขอผัดฟ้องฝากขังไปตามระบบวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง และจะนำ ป.วิ อาญา มาตรา ๘๗ มาใช้บังคับไม่ได้ |