ศาลก็ออกหมายค้น ตามพยานหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่และเสนอคำร้องขอไปต่อศาล คงมีมูลน่าเชื่อถือ จึงมีการออกหมายค้น.... ส่วนตำรวจก็คงขอออกหมายค้น ตามพยานหลักฐาน หรือสายของตำรวจที่ให้เบาะแสมาว่ามีหลักฐานชัดเจน....เมื่อไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ตามหมายค้น ก็ต้องไปไล่เรียงจากตำรวจว่าการออกหมายค้น มีพยานหลักฐาน ที่ได้มาอย่างไร ถ้าได้มาจากพยานเท็จ ก็ย่อมมีความผิด ตาม ปอ. ม.172 ม.173ที่ยกมาข้างล่าง.... แต่ การที่จะไปไล่เบี้ยจากตำรวจ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่วนใหญ่ก็เขี้ยวกันทั้งนั้น คงมีทางหนีทีไล่ไว้แล้ว คงต้องคุยกับทนายอีกที เพื่อหาช่องทางเอาคนผิดหรือคนกลั่นแกล้งมาลงโทษ หรือใช้วิธีร้องเรียนขอความเป็นธรรมจาก ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน (โทร.1676 (โทรฟรี) หรือ 0-2141-9100 โทรสาร 0-2143-8341) ถ้าใช้ช่องทางนี้น่าจะง่ายกว่า แต่ก็อย่าได้ไปวาดหวังอะไรไว้สูงเกินควร เพราะสังคมไทย กำลังตกอยู่ในยุคสับสนอลหม่าน บางทีอะไรๆก็เพี้ยนไปหมด ครับ
มาตรา 172 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มี อำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 173 ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อ ความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดี อาญาว่าได้มีการกระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
|