เมื่อต้นปี 54 มีญาติผมคนหนึ่งมาขอยืมเงินโดยบอกว่าจะเอาไปทำบ้าน   เขาเองทำเร่ิ่องกู้ไว้แล้วอยู่ระหว่างรอเงินออกจะขอยืมสัก2  เดือน ผมเห็นว่าเป็นญาตืกัน จึงให้ยืมไป 8 แสน โดยไม่ทำสัญญา พอถึง 2 เดือนจึงโทรไปทวง เขาก็ขอผลัดโดยบอกว่า เงินที่ได้มาไม่พอใช้หนี้เรา ขอผ่อนส่งให้เดือนละ 50,000 พร้อมดอกเบี้ย .ให้รอจนกว่าเขาจะทำบ้านเสร็จ ถ้าบ้านเสร็จแล้วยังค้างหนี้อีกเท่าไร เขาจะเอาบ้านและที่ดินหลังนี้กู้เงินธนาคารมาให้ ผมเห็นเขากำลังทำบ้านจริงๆจึงยอมผลัดผ่อนในใจคิดว่าเขาพูดจริง  เพราะเขาส่งเงืนมาให้ทุกเดือน รวมแล้ว 7 เดือน เป็นเงิน 400,,00บาท ช่วง 7 เดือนที่เขาส่งเงินมาให้นี้ เขาจะมาขอยืมเงินเพิ่มอีกหลายครั้งโดยบอกว่าเงินไม่พอ ทำบ้านงบปานปลาย ขอยืมอีกหน่อยบ้านใกล้จะเสร็จ  ผมเองก็ให้เขาไปมากแล้ว ก็อยากได้เงินคืนจึงช่วยเขาไปอีก คิดว่าถ้าบ้านเขาเสร็จแล้วเขาจะได้กู้เงืนมาคืนเราเสียทีจึงช่วยเขาไป  รวมแล้วเป็นเงิน 1,500,000บาท ผมจึงให้เขาทำสัญญาไว้ 1 ฉบับ กำหนดว่าจะชำระ อีก 3 เดือนข้างหน้า แต่พอถึงเวลา เขาบอกว่าไม่มีเงิน แต่มีรถป้ายแดงขับ และมาบอกผมว่าแท้จริงแล้วเขาเอาเงินไปปล่อยกู้แล้วมีปัญหา  ผมจึงให้เขาชดใช้ เขาไม่ยอม  ผมจึงหาทนายฟ้อง  เขาบ่ายเบี่ยงไม่รับหนี้  เรื่องกำลังอยู่ที่ศาล เขาบอกว่าผมเอาเงินไปปล่อยกู้เองโดยผ่านเขา  ทั้งที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร  เงินผมก็โอนไปทางเขา สัญญาเงินกู้ก็เป็นชื้อเขา   อย่างนี้ขอเรียนถามท่านผู้รู้ว่า ผมจะฟ้องว่าเขาหลอกเอาเงินผมไปได้ไหม เพราะเขาบอกเราว่าเอาไปทำบ้านและเราก็เห็นว่าเขาทำบ้านจริงๆ จึงให้เงินเขาไป ส่วนที่เขาเอาไปปล่อยกู้ เราไม่อาจรู้ได้  ผมต้องติดหนี้ธนาคาร หักเงินเดือน เป็นหนี้ญาติจนเงินไม่พอใช้ครอบครัวเดือดร้อน เป็นทุกข์มาก  เขาก็ลอยนวลไม่ต้องใช้หนี้ มา 2 ปีแล้ว ผมต้องมีภาระส่งลูกเรียน ส่งบ้าน ญาติก็อยากได้เงินคืน  ผมจะทำอย่างไรดี  ผมปรึกษาทนายแล้วท่านให้ฟ้องคดีแพ่ง ทำให้ผมไม่มีเงินมาใช้หนี้ จนทุกวันนี้ ไม่รู้ศาลจะตัดสินอย่างไร ผมอยากได้คำตอบจากท่านผู้รู้จะได้มีความหวังบ้าง และผมอยากรู้ว่า ผมจะฟ้องคดีหลอกลวงไม่ได้หรือ ทำไม่ท่านทนายให้ผมฟ้องคดีแพ่ง เรื่องจึงยืดเยื้อ มาจนวันนี้   ใจผมค้านมาตลอด ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงแด่ผู้เบาปัญญาหน่อยเถอะจักขอบพระคุณมาก