ในเมื่อกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันไป  ก็ต้องรับผิดในทุกๆกรรมนั้น  เมื่อมีการแจ้งความ  ก็ต้องมีการขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว(ประกันตัว)ทุกๆคดีไป   และอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลเป็นสำคัญ ครับ.........กฎหมายที่ใช้อ้างอิง  ปอ. ม.91....

มาตรา 91 เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลาย กรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปแต่
ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลด มาตรา ส่วนโทษด้วยหรือไม่ ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนด ดังต่อไปนี้
(1) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
(2) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
(3) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
 

 ในส่วนนี้คือแค่แจ้งความที่ สน. ต่างท้องที่กัน (ผู้เสียหายหลายราย) ก็ต้องตามไปประกันตัวทุก สน. ถูกต้องไหมครับ

 แล้วอย่างกรณีตามปัญหานี้ มีลิมิตในการประกันตัวผู้ต้องหาหรือไม่อย่างไรครับ

เมื่อมีการแจ้งความ  หลายๆท้องที่  ผู้ต้องหา  ก็มีหน้าที่ต้องไปพบตำรวจทุกๆท้องที่ที่ถูกแจ้งความ (ในประเทศไทย)  อาจต้องมีการประกันตัวหรือไม่ก็ได้  ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของตำรวจ  การไปมอบตัวเอง  โดยไม่ต้องออกหมายจับ ตำรวจอาจปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ต้องมีหลักประกันก็ได้ เพราะมีกฎหมายเปิดช่องให้สามารถทำได้   ถ้าต้องใช้  หลักทรัพย์ประกันตัว  ก็คิดหลักทรัพย์ ประมาณ ปี ละ  20,000  บาท  ข้อหาฉ้อโกงประชาชน  จำคุก  5 ปี   ก็คงต้องใช้หลักทรัพย์  100,000  บาท หรือ ตามดุลยพิจของพนักงานสอบสวน...ก็ถือเป็นโชคดีของคนไทย  ที่ตกเป็นผู้ต้องหา  เพราะรัฐบาลชุดนี้  ได้มีการออก พรบ.กองทุนยุติธรรม พ.ศ.2558  คือผู้ต้องหา  ที่ต้องการประกันตัวสามารถร้องขอให้ใช้เงินจากกองทุนนี้ ประกันตนได้  โดยไม่ต้องไปหาเงินมาประกันตัวเองให้ยุ่งยาก  แต่ พรบ.นี้ จะมีผลบังคับ  ในวันที่ 25  เมษายน 2559  แต่ก็คงไม่นานเกินรอ  เมื่อพรบ.นี้มีผลบังคับใช้  การประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลย คงคลี่คลายไปในที่ดีที่ ครับ