1.  โดยในสำนวนที่ฟ้องเขาได้ใช้เรื่องการครอบครองแบบเป็นสัดส่วนโดยเขาขอแบ่งแยก 2  ส่วนใน 3 ส่วน

       โดยเขาเอา ประมาณ 12 ไร่กว่า  อยากทราบว่าในการทำนาเพื่อเลี้ยงชีพที่ผ่านมานั้นเป็นการครอบแบบ               สัดส่วนไหม  โดยไม่มีเอกสารหรืออะไรระบุไว้ใน น.ส.3  หรือไม่อย่างไร  

ตอบ....ข้อกล่าวอ้างของลูกของป้า   เป็นการพยายามอ้างว่า มรดกได้แบ่งปันกันแล้ว  โดยการเข้าถือครองเป็นสัดส่วน   ตาม ปพพ. ม.1750  ซึ่งถ้าข้ออ้างของเขาเป็นจริง   ก็หมายความว่า  แม่มีกรรมสิทธิ์เพียง  6  ไร่ตามที่ครอบครองจริง  แต่ในความจริง  การแบ่งการครอบครอง  ไม่มีได้มีสัญญาใดๆระบุไว้ชัดเจน    ดังนั้นแม่ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่ง (ประมาณ  10 ไร่)  ในฐานะผู้ถือกรรรมสิทธิ์ร่วม  การที่เขานำประเด็นนีมากล่าวอ้างได้   คงมีผู้แนะนำหรือชี้ทางให้  เพราะเป็นประเด็นข้อกฎหมาย  ที่คนทั่วๆไปมักไม่ทราบ   คนที่แนะนำคือใคร   คุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ    ครับ

2.   ทางผมได้ให้การแย้งไปเพื่อเป็นการครอบครองแบบไม่เป็นสัดส่วนและขอแบ่งแยกตามกรรมสิทธิ์ร่วมมีโอกาสจะได้ที่ตรงส่วนนี้ ในครึ่งหรือไม่อย่างไร

ตอบ...ต้องยื่นคำให้การต่อสู้ในทำนองว่า  แม่ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ต้องมีกรรมสิทธิ์ ครึ่งหนึ่ง   การที่ป้าทำนาเกินครึ่ง  เป็นเพียงการครอบครองที่ดินแทนแม่เท่านั้น   ไม่ใช่การแบ่งแยกการครอบครอง  กรรมสิทธิ์ของแม่ยังคงมีอยู่ดังเดิมคือครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 10 ไร่  เป็นต้น ครับ

3. ถ้าสมมติศาลตัดสินผลการตัดสินจะออกมาในลักษณะแบบใดจะได้วางแผนที่หยุดหรือจะอุทรณ์ต่อครับ

ตอบ....เป็นข้อพิพาททางแพ่ง  ศาลมักให้ใช้การไกล่เกลี่ยเจรจากันก่อน   ก็มีทางออกหลายทาง เช่น   แบ่งกันคนละครึ่ง   หรือ  ถ้าเขาต้องการที่ดินเพิ่ม  4 ไร่   ก็ต้องจ่ายค่าที่ดินให้คุณตามราคาท้องตลาด    ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้  ศาลก็จะนำคดีเข้าสู่ห้องพิจารณ์คดีตามปรกติ  ก็นำพยานหลักฐานต่างๆมาหักล้างกัน  ใครจะได้เปรียบ   ก็อยู่ที่น้ำหนักพยานของฝ่ายใดน่าเชื่อถือมากกว่ากัน  โดยเป็นดุลยพินิจของศาล.....(ตามความเห็น)  ในเมื่อแม่ถือกรรมสิทธิ์ร่วม   ต้องได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง...  แต่การต่อสู้คดียืดยาว   ต้องคิดคำนวณดูให้ถ่องแท้ก่อนว่า  จะพอคุ้มกับการต้องอุทธาณ์ต่อไปหรือไม่..สุดท้ายจริงๆ  อาจขอแบ่งกันคนละ  2ไร่  เฉพาะในที่ดินที่เกิดข้อพิพาท  ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง  ลองพิจารณาดู  ครับ..