ReadyPlanet.com


ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา


  ขอคำปรึกษาหน่อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า 5 ปีที่แล้วผมนั่งดื่มสุรากะเพื่อนรุ่นพี่อยู่ประมาณ 10 กว่าคนตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น พอประมาณ 1 กว่า ก็มีชายคนหนึ่งอยู๋ในระแวกนั้น เขาก็รู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ที่นั่งกินเหล้าอยู่กับผม แต่ผมไม่รู้จักเขา ก็นั่งกินกันไปจนประมาณ 5 ทุ่ม ก็เหลืออยู่ 3 คน คือผม เพื่อนรุ่นพี่ และ ชายที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ก็นั่งๆไปซักพักเขาก็พูดขึ้นมาว่าเขาเก่ง ใหญ่ ประมาณว่านักเลงโตอะไรประมาณนั้น แล้วเขาก็หันมาหาผม พร้อมกับกระชากเสื้อ และ ต่อยผม ผมงงมากยังไม่ได้พูดหรือว่าอะไรซักคำ ด้วยความโมโห มีมีดสั้นเล่นหนึ่ง ตั้งอยู่ที่จาน ผมเลย แทงไป 2-3 ครั้ง แล้วกลับบ้าน จากนั้นผมก็ไม่ได้อยู๋ในพื้นที่ จน 2 ปีที่แล้วก็กลับมาอยู่บ้าน ล่าสุดตำรวจมาจับผมที่บ้าน ตอนนี้คดีอยู่ในชั้นศาล(ฟ้องแล้ว)รอสืบพยาน ต.ค นี้ ผมมืด 8 ด้าน จะให้ การว่าไงดี ผมมี พยาน 2 คน และพยาน ฝั่งเขาผมก็รู้จัก ผมติดต่อไปแล้วเขาว่าจะช่วยให้การในชั้นศาล ตอนนี้เขาลงคดีผมว่า พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตอนนี้ผมบอกปฎิเสธข้อกล่าวหา บอกว่าเขามาหาเรื่องกระชากคอเสื้อแล้วต่อย ผมควรทำไงดี ควรให้การว่าอย่างไร แล้วถ้าผมบอกผู้พิพากษาว่าเขาหาเรื่องดังที่กล่าวมาแล้วผมบอกว่าผมทำไปเพื่อป้องกันตัว ผลจะออกมายังไงครับ มีทางที่จะสู้รึป่าว หรือว่าต้องจำคุก รบกวนผู้รู้ชี้แนะด้วยนะครับ เครียดมากลูกก็เพิ่ง 3 ขวบ ขอบคุณครับ 



ผู้ตั้งกระทู้ มืด 8 ด้าน :: วันที่ลงประกาศ 2014-07-09 00:02:48 IP : 49.49.164.136


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3667145)

ควรมีทนายช่วยเหลือ   และต่อสู้คดีไปตามข้อเท็จจริง   ตามข้อเท็จจริง   น่าจะไม่ใช่การป้องกันตัว   แต่เข้าข่ายสมัครใจทะเละวิวาทมากกว่า และเป็นการป้องกันเกินกว่าเหตุ    ได้ยกตัวอย่างเรื่องทำนองนี้มาให้พิจารณาดู ครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2553
พนักงานอัยการจังหวัดพิจิตร
     โจทก์
นางสาวยุรีหรือจุรี ทรัพย์พาลี
     จำเลย

 
ป.อ. มาตรา 69

 
          ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มต้นด่าว่าจำเลยก่อน แม้จำเลยโต้เถียงจนกลายเป็นทะเลาะกัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่เป็นการท้าทายให้ต่อสู้กัน ผู้เสียหายเดินไปหาจำเลยแล้วลงมือทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยหยิบมีดปลายแหลมเป็นอาวุธใช้แทงผู้เสียหายย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยด้วยมือเปล่าและต่างเป็นผู้หญิงด้วยกัน น่าจะทำร้ายกันไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงสักครั้งก็น่าจะหยุดยั้งผู้เสียหายได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ที และแทงโดยแรงลึกถึงตับ ม้าม และลำไส้ใหญ่ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 69
 
________________________________
 

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และ 72 ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีการับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยพยายามฆ่านางสาวแตงอ่อน ผู้เสียหายโดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงผู้เสียหายหลายที ถูกที่ท้องและหน้าอกทะลุถึงตับ ม้าม และลำไส้ใหญ่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง หรือเป็นการป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะอ้างว่าป้องกันตนไม่ได้ เพราะจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหายแล้วเข้าทำร้ายซึ่งกันและกันนั้น โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาลแต่มีคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 เป็นพยาน และมีนายสุก ซึ่งเป็นอาของผู้เสียหายและเป็นตาของจำเลยเป็นพยานเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าผู้เสียหายด่าจำเลยอยู่พักหนึ่งก่อนที่จำเลยและผู้เสียหายจะโต้เถียงกันบริเวณใต้ถุนบ้านของนางละออ และผู้เสียหายจะลงมือทำร้ายจำเลยก่อน แม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายจะให้การว่า พอผู้เสียหายเดินไปหาจำเลย จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับว่าผู้เสียหายลงมือทำร้ายจำเลยก่อน แต่รับว่าในตอนต้นผู้เสียหายด่าจำเลยก่อน ซึ่งจำเลยมีนางสมคิด และนางบุญมาเป็นพยานเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุพยานทั้งสองอยู่ในที่เกิดเหตุได้ยินเสียงผู้เสียหายตะโกนด่าจำเลยซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านของนางละออที่เกิดเหตุ และเข้าไปตบตีจำเลยก่อนซึ่งญาติพี่น้องช่วยกันห้ามแต่ผู้เสียหายไม่ยอมหยุด พยานจำเลยเจือสมคำเบิกความของนายสุกซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มต้นด่าว่าจำเลยก่อน แม้จำเลยโต้เถียงจนกลายเป็นทะเลาะกัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่เป็นการท้าทายให้ต่อสู้กันผู้เสียหายเดินไปหาจำเลยแล้วลงมือทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยหยิบมีดปลายแหลมเป็นอาวุธใช้แทงผู้เสียหายย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการเพื่อป้องกันตนนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายทำร้ายจำเลยด้วยมือเปล่าและต่างก็เป็นผู้หญิงด้วยกันน่าจะทำร้ายกันไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงสักครั้งก็น่าจะหยุดยั้งผู้เสียหายได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ที และแทงโดยแรงลึกถึงตับ ม้าม และลำไส้ใหญ่ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 69 เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีที่ว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายหาเรื่องด่าจำเลย ทั้งยังลุแก่โทสะและลงมือทำร้ายก่อน ทั้งสองฝ่ายเป็นญาติกันและหลังเกิดเหตุปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยเป็นที่พอใจ และไม่ติดใจเอาความแล้วตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.5 ประกอบกับจำเลยเป็นหญิงไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุปรานีกำหนดโทษในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกไว้เพื่อให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี แต่เห็นสมควรคุมประพฤติของจำเลยไว้ด้วย”
          พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 69 ลงโทษจำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง และคุมความประพฤติของจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 18 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

 

 

 
 
( อภิรัตน์ ลัดพลี - ศิริชัย วัฒนโยธิน - ทวีป ตันสวัสดิ์ )
 
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2014-07-09 09:39:33 IP : 101.51.170.21


ความคิดเห็นที่ 2 (3667316)

แล้วพี่ดูคดีของผมแล้วพี่คิดว่าสุดท้ายศาลจะตัดสินยังไงครับ 

ขอบคุณสำหรับคำถามครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น มืด 8 ด้าน วันที่ตอบ 2014-07-09 14:05:45 IP : 49.49.164.136


ความคิดเห็นที่ 3 (3667319)

ออ แล้วก็ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับผม

ผู้แสดงความคิดเห็น มืด 8 ด้าน วันที่ตอบ 2014-07-09 14:11:27 IP : 49.49.164.136


ความคิดเห็นที่ 4 (3667660)

เรื่องการลงโทษ  เท่าไร  เป็นดุลยพินิจของศาลเท่านั้น   จะให้ตอบว่าศาลจะลงเท่าไร  ไม่สามารถตอบได้   เพราะมีเหตุปัจจัยประกอบมากมาย   ตั้งแต่  ตัวคุณเอง (จำเลย )   ผู้เสียหาย  ทนายความ ตำรวจ   อัยการ   พยานต่างๆ    ถ้าอาจหาญไปตอบว่าศาลจะลงโทษเท่าไร  คงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม  ถ้าผู้รู้ที่มาอ่านพบ  คงดูแคลนเอาได้ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2014-07-10 08:58:13 IP : 101.51.170.204



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.