[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
สับสนจริง ๆ ครับ | |
เรื่องบ้านประมูลจากกรมบังคับคดี แล้วมีผู้อาศัยอยู่ไม่ยอมออก เจรจาแล้วก็ไม่ยอม ผมเคยอ่านคำตอบที่คุณปมุขตอบ มีลักษณะที่ผู้อาศัยไม่มีสิทธิเหนือผู้ประมูลได้ และสัญญาเช่าก็ไม่มีสิทธิมาใช้กับผู้ประมูลได้ด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าการถามผมถามแบบไม่เข้าใจถาม ผมได้ดูคำถามตอบของเวปไซต์อีกที่หนึ่ง ตอบลักษณะต่างกันมากเลยครับ ท่านผู้ทรงวุฒิท่านนั้นว่าสัญญาเช่าไม่ว่าจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน(ไม่เกิด3ปี)ยอมมีผลผูกพันธ์กับผู้ประมูลบ้าน ซึ่งผมอ่านแล้วสับสนมาก ไม่ทราบว่าคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ต้องรบกวนคุณปมุขอีกรอบในการอธิบายความครับ ขอบคุณครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ คนไม่รู้ :: วันที่ลงประกาศ 2005-04-15 12:36:21 IP : |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (90416) | |
-สัญญาเช่าไม่เกิน 3 ปีแม้ไม่จดทะเบียนก็ใช้บังคับได้(ม.538) -ผู้รับโอน(ประมูลได้)ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่....(ม.569)คือมีสิทธิ์ในบ้าน แต่...ต้องให้ผู้เช่าอยู่จนครบสัญญา -คุณปมุขแนะนำไว้ถูกต้องแล้วที่ว่า..ผู้ประมูลได้ย่อมมีสิทธิ์เหนือผู้อาศัย แต่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าก่อน.... -คำแนะนำ -ก่อนประมูลบ้านหรือรับโอนควรตรวจสอบดูว่ามีผู้อาศัยอยู่ในฐานะอะไรบ้าง....ถ้ามีผู้อาศัย...การที่จะให้เขาย้ายออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายนัก...ถ้าเขาไม่ยินยอมย้ายออกไปก็ต้องฟ้องขับไล่ ซึ่งต้องเป็นละครเรื่องยาวกว่าจะจบต้องใช้เวลา...... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้เฒ่า วันที่ตอบ 2005-04-15 14:52:55 IP : |
ความคิดเห็นที่ 2 (90549) | |
ต้องขอขอบคุณ ท่านผู้เฒ่า มากๆ ครับ แตกรณีตามปัญหานี้ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด สามารถฟ้องขับไล่ ผู้เช่าได้ แม้ว่าสัญญาเช่าไม่ครบกำหนดก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ผู้ซื้อทรัพย์ จากการขายทอดตลาด ไม่ใช้ผู้รับโอน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 ครับ (มาตรา 569 ใช้สำหรับผู้รับโอนจาก เจ้าของเดิมเท่านั้น ) ซึ่ง หลักการดังกล่าวนี้เป็นไปตามคำพิพากษาฎีกา ที่ 2282/2539 ครับ ซึ่งยังมีผู้พิพากษาบางท่านที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังไม่มีคำพิพากษาฎีกา ฉบับอื่น ออกมากลับหลักการนี้ครับ ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ ศาลยังคง วินิจฉัย ตามนี้อยู่ว่า ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด มีสิทธิดีกว่า ผู้เช่า และสามารถฟ้องขับไล่ผู้เช่า ออกไปจาก ทรัพย์ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดได้ครับ 2282/2539 โจทก์ นายสมศักดิ์ วิภาบุษบากร จำเลย นางสาวนิอร เจียมศิริกาญจน์ กับพวก แพ่ง การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า (มาตรา 569) วิธีพิจารณาความแพ่ง ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (มาตรา 248 วรรคสอง) โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 28482 โดยซื้อได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ที่ดินแปลงดังกล่าว มีสิ่งปลูกสร้างคือตึกแถวเลขที่ 40/5 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิของจำเลยที่ 1 โดย มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองอยู่อาศัย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รื้อถอน ตึกแถวดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สิน และบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ กับส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพ เรียบร้อยห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในอัตรา เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันถัดวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะรื้อถอน ตึกแถวและจำเลยทั้งสองได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของ โจทก์แล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองให้การว่า ตึกแถวเลขที่ 40/5 ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 6442 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายวัฒนะชัย เจียมศิริกาญจน์ จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างตึกแถวดังกล่าวลงบนโฉนดที่ดินเลขที่ 6442 โดยมีข้อสัญญากับ นายวัฒนะชัยว่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป 20 ปี ให้ตึกแถวดังกล่าวตกเป็น กรรมสิทธิของนายวัฒนะชัย ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าตึกแถว ดังกล่าวมีระยะเวลา 20 ปี โจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวโดยทราบอยู่แล้ว จึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว โจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนตึกแถวออกจากที่ดิน โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ และส่งมอบ ที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง กับที่ดินของโจทก์อีก ต่อไป จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างว่า ที่ดิน พิพาทที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เดิมเป็นของ นายวัฒนะชัย เจียมศิริกาญจน์ ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่า มีกำหนด 40 ปี ครบกำหนดวันที่ 20 มิถุนายน 2540 โดยให้จำเลยที่ 1 ทำการก่อสร้าง ตึกแถวบนที่ดินพิพาท มีสิทธิ นำตึกแถวบนที่ดินพิพาทให้บุคคลอื่นเช่าต่อได้ 20 ปี ครบกำหนดตามสัญญาแล้วว่าเลยที่ 1 ตกลงให้ตึกแถวบนที่ดินพิพาท ตกเป็น กรรมสิทธิ์ของนายวัฒนะชัย แต่การเช่าที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายวัฒนะชัยดังกล่าวมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ช่วยออกค่าก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินพิพาทพร้อม ขอเช่าตึกแถวบนที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี ด้วยการทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกา ข้อแรกของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนตึกแถวที่สร้าง บนที่ดินพิพาทและจำเลยทั้งสองจะต้องขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจาก ที่ดินพิพาทของโจทก์ได้หรือไม่จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นซึ่งรับฟังได้ว่า ก่อนที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลนั้น นายวัฒนะชัยเจ้าของเดิมได้ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่าโดยให้จำเลยที่ 1 ทำการ ก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินพิพาทที่เช่าและมีสิทธินำไปให้บุคคลอื่นเช่าต่อได้เป็น ระยะเวลา 20 ปี โดยเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ ในตึกแถวที่สร้างบนที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิของนายวัฒนะชัย แต่ข้อตกลงการเช่าดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายวัฒนะชัยมิได้ทำเป็น หนังสือและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าระหว่าง นายวัฒนะชัยกับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีผลใช้บังคับได้ระหว่าง นายวัฒนะชัยเจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมกับจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่มีผลผูกพัน โจทก์ซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ จะอ้างว่าโจทก์ทราบข้อ สัญญานี้ก็ไม่ผูกพันโจทก์ เพราะโจทก์มิได้ยอมตกลงกับจำเลยที่ 1 ด้วยทั้งนี้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2508 ระหว่างนายสังวล เอี่ยมลิ้ม โจทก์ นายหวาน อ่อนตามธรรม ที่ 1 นางทับ อ่อนตามธรรม ที่ 2 จำเลย ฉะนั้นเมื่อสัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะให้ ตึกแถวนั้นคงอยู่ต่อไปในที่ดินของโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรื้อถอนตึกแถว ออกไปส่วนค่าเสียหายอย่างใดจำเลยที่ 1 ก็จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่เจ้าของ ที่ดินพิพาทคนเดิมซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนต่อไป สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้จะจดทะเบียนสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะให้ตึกแถวอยู่ในที่ดิน ของโจทก์แล้วจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1 ต้องออก ไปด้วย กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้รับโอนตึกแถวที่เช่านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ปัญหาข้อสุดท้ายของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์เสียหายเพียงใด จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในแหล่งการค้า รถยนต์เข้าไม่ได้ และมีเนื้อที่เพียง 9 ตารางวาเศษ เฉพาะที่ดินพิพาท จึงไม่อาจให้เช่าได้สูงกว่า เดือนละ 100 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท จึงสูงเกินไปนั้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ หนึ่งหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ เป็นการได้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์ จึง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย" พิพากษายืน ( สุชาติ ถาวรวงษ์ - สุทธิ นิชโรจน์ - สุประดิษฐ หุตะสิงห์) *หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตาม คำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ซึ่งตามบทบัญญัติ ดังกล่าวให้สิทธิผู้ซื้อว่าไม่เสียไปแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของ จำเลยเท่านั้น มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิไปโดยปลอดจากภาระผูกพันใดๆ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2535) ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยความตอนหนึ่งว่า "กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 569 เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้รับโอนตึกแถวที่เช่นนั้น" ทำให้คิดไปว่า ผู้ซื้อทรัพย์ (อสังหาริมทรัพย์) จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ไม่อยู่ในฐานะผู้รับ โอนที่จะรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 569 ซึ่งความเห็นเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะแท้จริงแล้ว ศาลฎีกาหาได้วางหลักไว้เช่นนั้นไม่ เป็นแต่ศาลฎีกาให้เหตุผลตามข้อเท็จจริงแห่งคดี เป็นเรื่องๆ ไป ซึ่งผู้เขียนยังมีความเห็นว่า ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์จากการ ขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลก็อยู่ในฐานะผู้รับโอนที่จะรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของ ผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วย หากว่าการเช่าหรือการเช่าช่วงนั้นได้ทำโดยชอบมีผลบังคับกัน ได้ตามบทบัญญัติในลักษณะ 4 เช่าทรัพย์แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาท จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมคือ ว. และ ว. ได้ตกลงให้ จำเลยที่ 1 เช่าโดยจำเลยที่ 1 ก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินพิพาทและมีสิทธินำไปให้บุคคล อื่นเช่าต่อได้เป็นเวลา 20 ปี ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 20 มิถุนายน 2540 เมื่อ ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วให้กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของ ว. ดังนั้น จึงเป็นที่ แน่นอนแล้วว่าขณะที่โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันในขณะนี้ ว. ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ในตึกแถวที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทหากแต่ ว. จะได้กรรมสิทธิ์ในภายหน้า เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้วเท่านั้น เนื่องจากตึกแถวยังไม่ตกเป็นส่วน ควบของที่ดินพิพาทเพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของ ว. ตามสัญญาเช่าและ ใช้สิทธิปลูกสร้างตึกแถวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ตึกแถว จึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าที่พิพาทอยู่นั่นเอง จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจ ให้จำเลยที่ 2 เช่าตึกแถวได้ในฐานะเจ้าของ เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไม่ใช่ซื้อ (ขณะนั้นตึกแถวยังไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท) โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้รับโอน ตึกแถวที่จำเลยที่ 2 เช่า โจทก์จึงไม่จำต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อ ผู้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 คำวินิจฉัยของศาลฎีกาจึง ชอบด้วยเหตุผลอย่างยิ่ง นิติธร ศรีบุตร | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปมุข 0-1820-2236 วันที่ตอบ 2005-04-15 20:59:46 IP : |
ความคิดเห็นที่ 3 (90757) | |
เห็นด้วยกับคุณปมุข.......แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้อาศัยไม่ยินยอมย้ายออกแต่โดยดี ..... "คนไม่รู้" ก็จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อฟ้องขับไล่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง....... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้เฒ่า วันที่ตอบ 2005-04-16 15:04:43 IP : |
ความคิดเห็นที่ 4 (2962364) | |
กรุณาตอบปัญหาให่หน่อยค่ะท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ในกรณีนี้ ก เช่าแพ ข แล้วกำหนดระยะเช่าสามปี สัญญาเช่าทำเป็นหนังสือหลังจากหนึ่งปี ก ขายแพให้ ค ชื้อขายทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อโอนกรรมสิทธิรับแพแล้ว ค ได้แจ้งให้ ก ย้ายออกและส่งมอบแพภายในสิบวัน ขอบพระคุณค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กน้อย วันที่ตอบ 2009-01-20 19:20:26 IP : 115.67.88.41 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1087795 |