ReadyPlanet.com


สามี เมียน้อย ลูกเมียน้อย


 ดิฉันกับสามีคบกันมาได้6ปีกว่า ไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามีไปสัมพันธ์กับญ. อื่น ที่อายุยังน้อยจนท้อง ฝ่าย ญ. นั้นถามว่าจะให้เอาออกหรือเก็บไว้ ถ้าให้เอาออกก็เอาเงินมา สามีดิฉันได้ให้เงินไป10,000บาท ถามฝ่าย ญ. นั้นว่าจะให้ไปส่งเอาออกไหม ฝ่าย ญ. บอกไปต้อง จะไปเอง เวลาผ่านไปร่วมเดือน สามีดิฉันโทรไปถามเรื่องทำแท้ง ฝ่าย ญ. นั้นบอกเอาออกแล้ว สามีจึงขอให้ส่งใบรับรองแพทย์มาให้เพื่อความสบายใจของดิฉัน แต่แล้วฝ่าย ญ. นั้นก็ไม่ส่งมา สุดท้ายตอนนี้มารู้ว่าฝ่าย ญ. นั้นยังตั้งท้องอยู่ ใกล้คลอด และเรียกร้องให้สามีดิฉันรับผิดชอบ ทั้งๆ ได้ตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่รับเงิน10,000บาทว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก และเคยให้เงินไปทำแท้งแล้วแต่ฝ่าย ญ. เลือกที่จะให้คลอดออกมาเองและบอกจะเลี้ยงเอง ขอเพียงค่าใช้จ่ายเดือน3000บาท ตอนนี้ดิฉันกับสามีปรึกษากันว่าจะให้เงินฝ่าย ญ. คนนั้นอีกก้อนนึง แลกกับที่จะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะการรับรองบุตรหรือส่งรายเดือนและเลิกยุ่งเกี่ยวกันอย่างถาวร เพราะเราถือว่าเคยให้เงินไปทำแท้งแล้ว ดังนั้นเราจะไม่รับผิดชอบกับการตัดสินใจของฝ่าย ญ. นั้น

พอจะเป็นไปได้ไหม ถ้าจะยกเรื่องที่ให้เงิน10,000บาทเพื่อเอาไปทำแท้งแก่ฝ่าย ญ. แล้ว และฝ่าย ญ. โกหกว่าทำแท้งแล้วเลือกที่จะเก็บเด็กไว้ มาเป็นข้ออ้างไม่ให้สามีรับรองบุตรหรือส่งเสียรายเดือนให้กับเด็ก ถ้าวันนึงเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา หรือเอาเรื่องใดมาเป็นข้ออ้างได้บ้าง ดิฉันไม่ต้องการให้สามีรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

 

ปล.ขณะที่ฝ่าย ญ. ตั้งท้อง สามีเราไปได้ยุ่งเกี่ยว ไม่เคยไปมาหาสู่ ไม่เคยพาฝ่าย ญ. ไปแนะนำตัวกับบุคคลอื่นว่าเป็นภรรยา ไม่เคยเลี้ยงดูหรือพาไปฝากท้อง(เพราะตั้งใจจะให้ทำแท้งแต่แรก)



ผู้ตั้งกระทู้ เมียหลวงห่วงผัว :: วันที่ลงประกาศ 2016-01-29 10:01:32 IP : 49.230.200.114


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3934981)

"การทำแท้ง"

การกระทำของสามีของคุณ  มีโทษทางอาญา มีโทษถึงจำคุก  ตาม ปอ. ม.302   และการจะให้หญิงทำแท้ง โดยหญิงไม่ยินยอม  จะมีโทษหนักขึ้น ตาม ปอ. ม.303...การที่หญิงคนนั้น ไม่ยอมทำแท้ง  ถือว่ามีจิตสำนึกที่ดีของความเป็นแม่  อย่าบีบบังคับเธอเลย  เวรกรรมมีจริง  ครับ

กฎหมายที่ใช้อ้างอิง  และแนวคำพิพากษาศาลฎีกา..

 

มาตรา 301      “หญิง” ใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 302     ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูก “โดยหญิงนั้นยินยอม” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ “หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่น” ด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ “หญิงถึงแก่ความตาย” ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา 303     ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูก “โดยหญิงนั้นไม่ยินยอม” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ “หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่น” ด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาททถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ “หญิงถึงแก่ความตาย” ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
มาตรา 304     ผู้ใดเพียงแต่ “พยายาม” กระทำความผิดตาม มาตรา 301 หรือ มาตรา 302 วรรคแรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

 
-            คำพิพากษาฎีกาที่ 6443/2545       

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2545

แจ้งแก้ไขข้อมูล

จำเลยที่ 1 และที่ 2 พาผู้เสียหายขึ้นรถกระบะจากบ้านพักของผู้เสียหายไปให้หญิงไม่ทราบชื่อทำแท้งโดยผู้เสียหายยินยอม ในระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 นั่งขวางประตูบ้านอยู่ด้วย เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 302 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86 ซึ่งแม้โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ศาลก็ลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายเพราะการทำให้หญิงแท้งลูกไม่ว่าหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น


โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้หญิงคนหนึ่งไม่ทราบชื่อทำให้นางสาวปราณี วังพล ผู้เสียหายแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 303 กับขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3157/2540 ของศาลชั้นต้น

 

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

 

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

 

โจทก์อุทธรณ์

 

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 มีว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นทำให้ผู้เสียหายแท้งลูกโดยผู้เสียหายยินยอมตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม2540 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราที่บ้านของจำเลยที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง โดยจำเลยที่ 1 พูดขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะถูกฆ่า ต่อมาประมาณ 6 ถึง 7 วัน ผู้เสียหายได้เล่าให้นางปราณี บุตรแขก ญาติผู้เสียหายฟัง ประมาณวันที่ 17 ถึง 26 พฤษภาคม 2540 รอบประจำเดือนของผู้เสียหายไม่มาตามปกติ ผู้เสียหายเข้าใจว่าตั้งครรภ์จึงไปเล่าให้นางปราณีฟังอีก เมื่อวันที่ 27พฤษภาคม 2540 นางปราณีได้พาผู้เสียหายไปตรวจที่สถานีอนามัยบ้านช่องพลี เจ้าหน้าที่อนามัยยืนยันว่าผู้เสียหายตั้งครรภ์ กลับบ้านแล้วผู้เสียหายได้เล่าให้พี่ชายผู้เสียหายฟังพี่ชายผู้เสียหายโกรธมาก ผู้เสียหายจึงหนีไปอยู่บ้านบิดาอดีตสามีผู้เสียหาย จากนั้นนางปราณีได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย โดยทำให้ถูกต้องตามประเพณีของศาสนาอิสลาม แต่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม ครั้นวันที่ 29 พฤษภาคม 2540 เวลาประมาณ 6 นาฬิกาจำเลยทั้งสามมาหาผู้เสียหายที่บ้าน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 บอกว่าจะมารับไปทำพิธีแต่งงานตามประเพณีของศาสนาอิสลาม ผู้เสียหายเชื่อจึงขึ้นรถกระบะไปกับจำเลยทั้งสามโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ ระหว่างทางจำเลยที่ 3 บอกให้ผู้เสียหายไปทำแท้งลูกเสียก่อนเพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบ หลังจากจำเลยที่ 3 ลงจากรถที่ตลาดเหนือคลองแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้พาผู้เสียหายไปบ้านไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่งซึ่งผู้เสียหายเข้าใจว่าอยู่ที่จังหวัดตรัง ที่บ้านหลังดังกล่าวมีหญิงคนหนึ่งอายุ 40 ปีเศษเป็นคนทำแท้งโดยใช้ตะขอใส่เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหายแล้วเขย่า ๆ โดยมีหญิงวัยรุ่น 2 คน ช่วยกันจับขาของผู้เสียหายไว้ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นมีจำเลยที่ 1 นั่งขวางประตูบ้านไว้ เห็นว่า แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความเพียงปากเดียว แต่ก็เบิกความสมเหตุผลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อพิจารณาประกอบรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งระบุว่าผู้เสียหายมีแผลถลอกใหม่ที่บริเวณช่องคลอดทางด้านล่างปากมดลูกเปิดแสดงว่าผู้เสียหายผ่านการทำแท้ง อาจจะเป็นไปได้ว่าผ่านการทำแท้งเพราะมีบาดแผลถลอกใหม่เกิดขึ้นที่เกิดจากมีการสอดใส่วัตถุเข้าไปในช่องคลอด เอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยแพทย์ประจำโรงพยาบาลกระบี่ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหาย ตามที่ร้อยตำรวจเอกสุเมธปานคงพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นพยานโจทก์เป็นผู้นำส่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารดังกล่าวเชื่อว่าในวันเกิดเหตุหญิงไม่ทราบชื่อกับพวกอีก 2 คนทำให้ผู้เสียหายแท้งลูก ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบอ้างว่าเพียงแต่ร่วมกันพาผู้เสียหายซึ่งมีอาการปวดท้องไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลห้วยยอด จังหวัดตรัง ตรวจร่างกายนั้นขัดต่อเหตุผลเนื่องจากจำเลยที่ 1 อ้างว่าในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะไปทำงานขับรถไถรับจ้างตามปกติแต่กลับพาจำเลยที่ 2 ไปรับผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย เป็นพิรุธ พยานจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 2 พาผู้เสียหายขึ้นรถกระบะจากบ้านพักของผู้เสียหายไปให้หญิงไม่ทราบชื่อกับพวกอีก 2 คน ทำให้ผู้เสียหายแท้งลูกโดยผู้เสียหายยินยอม ในระหว่างการทำแท้งนั้น จำเลยที่ 1 นั่งขวางประตูบ้านอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดในการที่ผู้อื่นทำแท้งผู้เสียหายจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86 ซึ่งแม้โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาศาลก็ย่อมลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายเพราะการทำให้หญิงแท้งลูกไม่ว่าหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 มานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น"

 

พิพากษายืน

ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2016-01-29 16:45:15 IP : 101.51.185.99



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.