ReadyPlanet.com


ผจ.ธนาคารให้ความหวังทางวาจาก่อนทำสัญญากู้เงิน


 ข้าพเจ้าและหุ้นส่วนบริษัท จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาทใช้ชื่อบริษัท อาร์ ที เอ็น อินเตอร์ แอกโกรครอป (2005) จำกัด เป็นธุรกิจขนาดย่อม เช่าสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 219 หมู่ที่ 2 ต.ดงเสือเหลือง อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเคมีเกษตรมียอดการจำหน่ายสินค้าตามงบการเงินในปี 2548 ประมาณ 2,500,000 บาท, ปี 2549 ประมาณ 18,000,000 บาท และงบการเงินปี 2550 มียอดจำหน่ายสินค้าประมาณ 12,500,000 บาท โดยลูกค้าของบริษัทฯส่วนใหญ่อยู่ในรูปกลุ่มสหกรณ์ประมาณ 85% และอีก 15% เป็นร้านค้าที่อยู่ในท้องถิ่นต่างๆ สำหรับสินค้าในกลุ่มที่บริษัทฯดำเนินงานนั้นตั้งผลกำไรไว้ที่ 20-40% แล้วแต่ชนิดสินค้า กลางปี 2550 แนวโน้มราคาสินค้ากลุ่มที่บริษัทฯดำเนินงานอยู่ปรับราคาสูงขึ้นประมาณ 20-60% และเริ่มค้าขายในส่วนของผู้นำเข้ากับบริษัทฯผู้จำหน่ายเป็นระบบเงินสดมากขึ้น การใช้เงินสดหมุนเวียนในระบบต้องใช้มากขึ้น ที่ประชุมของบริษัทฯจึงมีมติ ให้บริษัทฯจัดหาเงินทุนเพื่อหมุนเวียนในงานเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯมอบหมายให้ข้าพเจ้าซึ่งมีตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ดำเนินการติดต่อธนาคาร และได้ติดต่อปรึกษาขอใช้เงินกู้กับผู้จัดการธนาคารพานิชย์แห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร แรกเริ่มติดตรงหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้เพราะที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่บริษัทฯตั้งดำเนินงานนั้น เช่าดำเนินงานอยู่ ผู้จัดการธนาคารดังกล่าวจึงแนะนำให้จัดหาที่ดิน และเขียนแบบแปลนพร้อมประมาณราคาก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่พร้อมโกดังสินค้า เสนอให้ทางธนาคารพิจารณา ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการจัดซื้่อที่ดินเปล่าฉโนดเลขที่ 2413 ต.ไผ่ท่าโพ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตรและดำเนินการถมดินจนได้ระดับสำหรับงานก่อสร้างเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,250,000 บาท หลังจากนั้นได้ทำเรื่องขอกู้เงินในส่วนของงานก่อสร้างจำนวนเงิน 2,000,000 บาท(ประมาณ 80% ของประมาณราคา)และวงเงินกู้เบิกเกินบัญชีอีก 1,000,000 บาท ปรากฎว่าธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ในส่วนของงานก่อสร้างมา 1,500,000 บาท(ประมาณ 60%ของประมาณราคา) และตั๋วสัญญาการใช้เงิน 500,000 บาท(ตั๋วสัญญาการใช้เงินใช้ได้หลังจากสิ่งปลูกสร้างแล้วเสร็จ) ผลการอนุมัติของธนาคารออกมาดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอต่อรองทางวาจากับผู้จัดการสาขาว่า บริษัทฯขอดำเนินการก่อสร้างเฉพาะอาคารสำนักงานได้หรือไม่ ได้คำตอบว่าไม่ได้เพราะอยู่ในสัญญาต้องก่อสร้างทั้งสองงาน ข้าพเจ้าจึงได้ตอบปฏิเสธทางวาจาการใช้วงเงินกู้ดังกล่าวในเบื้องต้นเพราะเห็นว่าบริษัทฯต้องนำเงินมาจมกับงานก่อสร้าง แต่ผู้จัดการธนาคารสาขาดังกล่าวได้ใช้วาจาหว่านล้อมพร้อมให้ความมั่นใจกับข้าพเจ้าว่า ให้บริษัทฯดำเนินการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทั้งสองชนิดให้แล้วเสร็จเสียก่อน หลังจากนั้นจะดำเนินการขออนุมัติเงินกู้ในรูปของ O/D มาให้บริษัทฯดำเนินงาน โดยจะมีการประเมินราคาจากสิ่งปลูกสร้างพร้อมราคาที่ดินอีกครั้ง
       ในความคิด ความมั่นใจในตัวผู้จัดการ และความมั่นใจในธนาคารประกอบกับระยะเวลาขณะนั้น บริษัทฯพอมีเงินหมุนเวียนการดำเนินงานอยู่ประมาณ 2,500,000 บาท การจัดสร้างอาคารสำนักงาน และโกดังเก็บสินค้าเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ บริษัทฯน่าจะได้รับประโยชน์สำหรับความสะดวกสบายในการดำเนินกิจการมากขึ้น กอรปกับความหวังจากคำสัญญาทางวาจาของผู้จัดการดังกล่าวในส่วนของวงเงินกู้ O/D ที่จะได้รับหลังจากงานก่อสร้างแล้วเสร็จ ข้าพเจ้าจึงตอบตกลงรับสินเชื่อดังกล่าวมาดำเนินการ*** เริ่มลงมือก่อสร้างเดือนกรกฎคม 2550 โดยอาคารสำนักงานมีพื้นที่ก่อสร้างรวม 220 ตารางเมตรจ้างเหมาตารางเมตรละ 8,000 บาท เป็นเงิน 1,760,000 บาท และโกดังสินค้ามีพื้นที่ก่อสร้าง 200 ตารางเมตรจ้างเหมาตารางเมตรละ 7,250 บาทเป็นเงิน 1,450,000 บาท สร้างสิ่งปลูกสร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2551 ที่ผ่านมา รวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มดำเนินการทั้งสิ้น 4,460,000 บาท นอกจากนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายอื่นๆเกี่ยวกับการก่อสร้างอีกประมาณ350,000 บาทรวมแล้วบริษัทฯเสียค่าใช้จ่ายหักเงินกู้ส่วนแรกสำหรับงานก่อสร้าง 1,500,000 บาท ทั้งสิ้น 3,310,000 บาท (ตั๋วสัญญาการใช้เงินยังใช้หมุนเวียนสต๊อกสินค้าอยู่ถึงปัจุบันนี้)
       หลังจากงานก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นต้นมา บริษัทฯได้ชำระเงินกู้รายเดือนมาบ้างแล้ว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นมาจนได้ ทั้งนี้เพราะว่า ไตรมาสแรกของปีในเดือน มกราคม สินค้าในส่วนของปุ๋ย,สารเคมีเกี่ยวกับการเกษตรต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทฯจัดจำหน่ายอยู่ปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ยกว่า 100% เปรียบเทียบจากไตรมาสที่สามของปี 2550 เดือนกรกฎาคม สินค้าปรับราคาสูงขึ้นแต่เงินหมุนเวียนในกิจการเหลือน้อยลง บริษัทฯเริ่มขายทรัพย์สินในส่วนของรถยนต์จำนวน 2 คันเพื่อนำเงินมาเพิ่มทุนหมุนเวียน และเป็นการลดค่าใช้จ่ายในตัว***หลังจากงานก่อสร้างแล้วเสร็จบริษัทฯได้ติดตามสอบถามสินเชื่อของธนาคารดังกล่าวในเรื่องของสินเชื่อ O/D ที่ได้ตกลงทางวาจากันไว้ โดยข้าพเจ้าได้ยื่นเรื่องขอวงเงินกู้ไป 2,000,000 บาทปรากฎว่าธนาคารได้เข้ามาประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างทั้งสองชนิดเหมารวมกันประมาณ 2,000,000 บาทรวมกับราคาประเมินที่ดินแล้วมีมูลค่ารวมกันไม่ถึง 4,000,000 บาท ธนาคารให้คำตอบต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าสามารถยื่นวงเงินเพิ่มไม่เกิน 1,000,000 บาท คำตอบดังกล่าวของธนาคารทำให้ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก เพราะเงินที่ใช้หมุนเวียนแต่เดิมนำมาจมกับงานก่อสร้างไปแล้ว เครดิตการชำระสินเชื่อจากแหล่งสินเชื่ออื่นๆก็เริ่มแย่ลง ทั้งนี้เปรียบเทียบจากตอนเริ่มดำเนินงานจนถึงเดือนธันวาคม 2550 บริษัทฯชำระสินเชื่อและเป็นลูกค้าชั้นดีกับทุกๆแหล่งสินเชื่อมาตลอด อีกทั้งถ้าข้าพเจ้ารู้ผลการประเมินราคาดังกล่าวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้ายังสามารถไปยื่นธนาคารอื่นๆเพื่อเป็นทางเลือกก็ได้ แต่ผู้จัดการมาบอกให้รอไปก่อน โดยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ลองไปยื่นกับอีกธนาคาร ปรากฎว่าราคาประเมินออกมากลางๆเดือนรวมทรัพย์สินมีมูลค่ากว่า 5,000,000 บาทต่างกันล้านกว่าบาทแต่ไม่สามารถทำเรื่องกู้เงินได้ทันทีเพราะติดเครดิตบูโร ต้องรอการดำเนินงานใหม่ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน ทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังรอการอนุมัติของธนาคารเดิมอยู่ ซึ่งยังไม่รู้กำหนดเวลาที่แน่นอน และจำนวนเงินจะได้เท่าไร ติดตามสอบถามก็บอกว่าไกล้จะอนุมัติทุกครั้ง บริษัทฯต้องเสียโอกาสมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างแล้ว ถ้ารอแบบไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ บริษัทฯเสี่ยงที่จะต้องปิดตัวลงในไม่ช้า
       ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอคำปรึกษาท่านในเรื่องของกฏหมายเกี่ยวกับโอกาส,เครดิตต่างๆและรายได้ที่สูญเสียไป จากเงินก้อนที่จมกับงานก่อสร้าง สิ่งที่บริษัทฯสูญเสียไปจากการใช้บริการเงินกู้ดังกล่าว สามารถเรียกร้องค่าเสียหาย อีกทั้งผมสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้หรือไม่ ทั้งนี้รายได้จากการจำหน่ายสินค้าปีละไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท แตหลังจาก่กู้เงินแล้วถูกธนาคารเอาเปรียบจากการประเมินราคาทรัพย์สินอย่างนี้ (เพราะยังไงทรัพย์สินต้องมีราคามากกว่า 2,000,000 บาท)ถ้าบริษัทฯไม่สามารถชำระรายเดือนได้  ถูกธนาคารยึดทรัพย์สิน แสดงว่าธนาคารดังกล่าวได้ทำลายโอกาสและความตั้งใจของพวกเราผู้ก่อตั้งงานตรงนี้ขึ้นมา ช่วยแนะนำพวกเราด้วยครับจะเป็นพระคุณอย่างสูง
 
                                                                                                                ด้วยความเคารพ
 
                                                                                                            
                                                                                                            นายจันทร์แรม  กลิ่นภู่


ผู้ตั้งกระทู้ นายจันทร์แรม กลิ่นภู่ :: วันที่ลงประกาศ 2008-06-08 18:13:51 IP : 61.19.65.113


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2837858)
-เป็นปัญหาข้อกฎหมาย  ไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า   ผู้จัดการธนาคารกระทำการดังที่คุณเล่ามาเป็นการละเมิดหรือไม่  แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทของคุณอยู่ในสภาพหลังพิงฝาแล้ว   แนะนำว่าควรฟ้องผู้จัดการฐานละเมิด และเรียกค่าเสียหายตามที่บริษัทของคุณได้ผลกระทบจริงๆ   ก็คงไปลุ้นกันที่ศาลว่าท่านจะวินิจฉัยว่าอย่างไร  ทนายดีๆและเก่งๆก็พอมี ลองให้เขาช่วยเหลือครับ....ลองสายตรงถึงคุณปมุขดูสิครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้เฒ่า วันที่ตอบ 2008-06-08 18:47:16 IP : 125.26.108.155



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.