การที่ย่า อนุญาตให้สร้างบ้านบนที่ดินของย่า มีผลทำให้ พ่อแม่เป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์ แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เมื่อย่า ให้ย้ายออกจากที่ดิน จะยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ไม่ได้ แม้จะอาศัยอยู่บนที่ดินของย่าเกิน 10 ปี เพราะอาศัยอยู่บนที่ดิน โดยยอมรับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของย่า อายุความการครอบครองปรปักษ์ จึงเริ่มนับไม่ได้ แม้จะอาศัยอยู่เป็น 100 ปี ก็ตาม การที่ย่าบอกว่าจะยกที่ดินให้ เมื่อยังไม่โอน จึงไม่ผลทางกฎหมาย.....จะสามารถอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้ ต้องมีข้อเท็จจริงว่า พ่อแม่อาศัยอยู่บนที่ดินผืนนี้ โดยสงบ (ไม่เคยถูกขับไล่) โดยเปิดเผย( ใครๆก็รู้กันทั่ว) โดยเจตนาเป็นเจ้าของ (ไม่ใช่อาศัยอยู่เพราะย่ายินยอม) และที่ดินนี้ต้องมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน ซึ่งการจะอ้างสิทธิ์นี้ได้ ต้องมีการฟ้องร้องทางศาล เพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ โดยการครอบครองปรปักษ์ ต้องมีพยานคนข้างเคียง ผู้ใหญ่บ้าน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเหตุการณ์ เป็นพยานยืนยันแน่นหนาถาวร ว่า พ่อแม่อาศัยอยู่ในฐานะเจ้าของ ซึ่งคงไม่เรื่องง่ายนัก.....ขอแนะนำให้ใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยประนีประนอม โดยให้แม่ขอซื้อที่ดินจากย่า ในราคาที่เหมาะสมตามท้องตลาด และให้ย่าจดทะเบียนโอนให้ ถ้าไม่มีเงินจ่ายเป็นก้อน ก็ขอผ่อนเป็นงวดๆ โดยให้ย่าทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ เมื่อผ่อนหมด ก็ให้ย่าจดทะเบียนโอนให้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด....ถ้าฟ้องร้องเรื่องการครอบครองปรปักษ์ ถ้าพยานไม่ชัดเจนเพียงพอ คงถูกขับไล่ให้รื้อถอนอาคาร และไม่มีสิทธิ์ขอค่ารื้อถอน ตามที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ขอค่ารื้อถอนได้ แต่ตามกฎหมายเจ้าของที่ดินไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ารื้อถอน ที่มีการยอมจ่ายค่ารื้อถอน เป็นเพียงการยินยอมกันตามสัญญาประนีประนอม เพื่อให้เรื่องจบลงด้วยดีเท่านั้น ด้วยความปรารถนาดี ครับ |