[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
ปรึกษาเรื่องการฟ้องหย่า | |
เป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย แต่วันนึงฝ่ายภรรยาระแคะระคายว่าสามีเริ่มไปติดพันกับหญิงอื่น โดยเริ่มสังเกตจากการใช้มือถือที่โทรหาเบอร์เดิมๆ ในยามวิกาล ระยะหลังๆ รู้จักที่จะลบเบอร์มือถือที่โทรเข้า-ออก ถ้ามันเกิดแบบนี้แล้วฝ่ายภรรยาสามารถทำได้อย่างไรคะ ดิฉันไม่ได้ต้องการไกล่เกลี่ยใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ และก็ไม่อยากรอจนถึงว่าสามีของตัวเองไปมีอะไรกับหญิงอื่น แต่อยากขอคำปรึกษาว่าถ้าเค้าทั้ง 2 คน คุยโทรศัพท์กันแล้วสื่อไปในทางชู้สาวได้ดิฉันฟ้องสามีกับชู้ได้มั้ยคะ และดิฉันจะมีวิธีการใดที่จะเอาหลักฐานการพูดคุยนี้มาดำเนินคดี เพราะดิฉันก็ทราบว่าการใช้วิธีการดักฟังโทรศัพท์มันไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ขอได้โปรดช่วยแนะนำให้ทีค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ยิ้ม :: วันที่ลงประกาศ 2015-09-21 22:43:32 IP : 119.76.70.169 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3873724) | |
ถ้าเพียงหลักฐานการพูดคุยทางโทรศัพท์ คงใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ถ้าต้องการหย่า หลักฐานการเป็นชู้ คงหาได้ลำบาก เพราะเรื่องแบบนี้ มักทำกันในที่ลับ ถ้าจ้างนักสืบ ก็คงไม่น้องกว่า 4-5 หมื่นบาท.... ก็ควรตกลงเจรจากันดีๆ และไปจดทะเบียนหย่า ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ใช้วิธีสมัครแยกกันอยู่สามปี ก็ใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ เวลาสามปี ที่แยกกันอยู่ คงได้ข้อคิดอะไรมากมาย คงสามารถตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเด็ดขาดได้ ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม (konnatham93-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2015-09-22 09:31:47 IP : 101.51.167.68 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3873738) | |
ขอบคุณมากนะคะ และขอรบกวนถามเพิ่มเติมอีกนิดนึงค่ะ ว่าถ้าสมัครใจแยกกันอยู่ คือ ดิฉันมีบ้าน 2 หลัง ถ้าให้ตัวผู้ชายอยู่บ้านอีกหลังส่วนดิฉันก็อยู่บ้านอีกหลังนึง ทีนี้ถ้าในระหว่างที่แยกกันอยู่ฝ่ายผู้ชายจะเอาผู้หญิงอื่นเข้าบ้าน แล้วตัวดิฉันจะต้องทำอย่างไรคะ บ้านหลังที่ดิฉันบอกนี้มีชื่อดิฉันกับสามีเป็นเจ้าของ เป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากน้ำพรรคน้ำแรงมาด้วยกันค่ะ ถ้าในขั้นตอนที่เราเจรจาเรื่องแยกกันอยู่ ดิฉันสามารถทำข้อตกลงใดๆ ทางกฎหมายได้มั้ยคะ และขอถามอีกข้อนะคะ ในระหว่างที่สมัครใจแยกกันอยู่นี้ คือ ในระหว่าง 3 ปี ถ้าดิฉันมีหลักฐานของการมีชู้ ดิฉันสามารถดำเนินการฟ้องหย่าได้โดยไม่ต้องรอให้ครบ 3 ปี เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ยิ้ม วันที่ตอบ 2015-09-22 09:56:58 IP : 49.229.80.143 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3874265) | |||||||
การสมัครใจแยกกันอยู่ ในทางปฏิบัติ สามีภรรยามักไปโรงพัก ให้ตำรวจบันทึกประจำวันไว้ ทำนองเป็นสัญญาว่า จะแยกกันอยู่ ตั้งแต่วันที่....(ระบุ) และขอถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจมาเก็บไว้คนละชุด หรือทำสัญญาประนีประนอมระบุว่า จะสมัครใจแยกกันอยู่ก็ได้ แต่การแยกกันอยู่คนละบ้าน ถ้าฟ้องหย่า ศาลอาจไม่ถือว่า เป็นการสมัครใจแยกกันอยู่ก็ได้ เพราะสามีภรรยาต่างก็เป็นเจ้าของบ้าน ต้องแสดงให้เห็นว่า ไม่เคยยุ่งเกี่ยวในฐานะสามีภรรยากัน เป็นเวลา สาม ปี....ส่วนกรณีที่แยกกันอยู่ ถ้าฝ่ายใดมีชู้ อีกฝ่ายก็ฟ้องหย่าได้เสมอ ไม่ต้องรอให้ครบสามปี ถ้ามีหลักฐานชัดเจน ครับ ..ได้ยกแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เทียบเคียงของคุณ มาให้พิจารณาดู บางทีการหย่า ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ ถ้าตกลงไปหย่าได้อง จะดีที่สุด ครับ
ป.พ.พ. มาตรา 10, 171, 850, 852, 1516(4/2)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุขตลอดมาเป็นเวลาเกินสามปีแล้ว ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยต้องแยกกันอยู่เนื่องจากโจทก์มีภริยาใหม่ ละทิ้งให้จำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรแต่ลำพังผู้เดียวจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 18 ปี ในปี 2535 จำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์เพื่อให้โจทก์หย่ากับจำเลยและชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรโดยจำเลยประสงค์จะดำเนินการฟ้องหย่ากับโจทก์และดำเนินคดีโจทก์ฐานแจ้งความเท็จที่โจทก์จดทะเบียนสมรสซ้อนกับภริยาคนใหม่ด้วยโจทก์กับจำเลยตกลงกันไม่ได้เรื่องการหย่า แต่โจทก์กลัวจะได้รับโทษทางอาญาจึงตกลงประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยทำบันทึกข้อตกลงกันขึ้นซึ่งไม่มีข้อตกลงว่าจะสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะโจทก์เป็นฝ่ายทิ้งร้างไปจากจำเลยอยู่แล้วเพียงแต่บันทึกยินยอมที่โจทก์จะชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเท่านั้นหลังจากนั้นโจทก์ส่งเงินให้บุตรเพียงบางเดือนแล้วไม่ได้ส่งให้อีกเลย จำเลยมิได้สมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี อันเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 เป็นข้อตกลงมีวัตถุประสงค์เป็นการระงับข้อพิพาทในเรื่องการหย่าโดยตรง โดยเฉพาะในข้อ 1 ซึ่งระบุว่าโจทก์และจำเลยตกลงที่จะไม่ทำการจดทะเบียนหย่าซึ่งกันและกันและโจทก์ยอมจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินบำเหน็จหรือบำนาญให้แก่จำเลย ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้ประเด็นเรื่องการหย่าซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยยอมสละระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 นอกจากนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีข้อความใดระบุว่า จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์จึงไม่อาจแปลสัญญาประนีประนอมยอมความนี้เป็นเรื่องจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ หรือแปลสาเหตุการทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ว่าเกิดจากโจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทกันด้วยเหตุที่โจทก์ได้นางบุญทยาเป็นภริยาอีกคนหนึ่งจนจำเลยประสงค์จะหย่าจากโจทก์ แต่กรณีเป็นเรื่องจำเลยมีสิทธิที่จะหย่าโจทก์ได้เนื่องจากโจทก์มีภริยาอีกคนหนึ่งและทิ้งร้างจำเลยไป การที่โจทก์ยินยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ยินยอมหย่ากับจำเลย และจำเลยสละสิทธิที่จะขอหย่ากับโจทก์โดยจำเลยขอรับค่าอุปการะเลี้ยงดูแทนเท่านั้นแม้จะได้ความจากจำเลยว่า จำเลยทราบดีว่าเมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วโจทก์จำเลยก็ต้องแยกกันไปทำมาหากินเช่นเดิมก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ไปอยู่กับนางบุญทยาเช่นเดิมโดยจำเลยไม่ติดใจเรื่องหย่ากับโจทก์หรือฟ้องร้องนางบุญทยาตามที่ปรากฏในสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น และในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีข้อใดที่ระบุห้ามมิให้จำเลยไปอยู่กับโจทก์ แต่พฤติการณ์ที่โจทก์ปฏิบัติต่อจำเลยนับแต่โจทก์ทิ้งร้างจำเลยจนกระทั่งทำสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมเป็นที่เข้าใจว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยฝ่ายเดียวเท่านั้นซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวนั้นย่อมไม่เปิดโอกาสให้จำเลยไปอยู่กับโจทก์ได้ มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยมีความสมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับโจทก์ นอกจากนั้นทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าภายหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกเหนือจากข้อสัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ เหตุที่โจทก์จำเลยแยกกันอยู่มาเกิน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิได้เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของจำเลยเพราะเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขแต่เป็นความสมัครใจของโจทก์ฝ่ายเดียวเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยโดยอาศัยเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) ได้ พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ | |||||||
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2015-09-23 09:50:18 IP : 101.51.187.33 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3874623) | |
เคยพบครับข้าราชการมีชู้เหตุการณ์แบบนี้ก็ไปคุยกันที่โรงพักและเก็บข้อตกลงที่เขียนไว้ในบันทึกประจำวันเพื่อป้องกันตนเองเพื่่อว่าหากมีหนี้สิน ที่อีกฝ่ายไปก่อขึ้นมาส่วนการหย่าร้างกันต้องใช้หลักฐานครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ผ่านทาสง วันที่ตอบ 2015-09-23 19:06:47 IP : 125.26.55.114 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3875476) | |
ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆ เลยนะคะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ยิ้ม วันที่ตอบ 2015-09-25 13:03:53 IP : 49.229.86.134 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1088851 |