เมื่อปี  2546  ดิฉันได้ปลอมเอกสารกู้เงินโดยลงลายมือชื่อผู้อื่นเป็นผู้กู้โดยกู้เก้าเจ้านาย  ต่อมาเจ้านายจับได้ ดิฉันก็รับสารภาพทั้งหมด จึงรวมยอดเงินแล้วทำสัญญาเงินกู้ใหม่โดยใช้ชื่อดิฉันรับสภาพหนี้ที่ก่อขึ้นทั้งหมดโดยไม่เอาความใด  ๆ  ต่อมาปี 2547  ดิฉันได้ขายรถยนต์  และขายของต่าง  ๆ  ในบ้านได้เงินมาประมาณ  250,000  บาท  จึงได้นำไปให้เจ้านายหักกับยอดที่ใช้ชื่อผู้อื่นกู้เงิน  โดยทำสัญญาใหม่ที่เหลือเงินของดิฉันที่กู้เอง  ซึ่งเงินที่ใช้คืนตกลงกับเจ้านายว่าให้นำไปหักในส่วนที่ฉ้อโกงเจ้านายมาซึ่งเจ้านายก็หักให้แต่โดยดี   และไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก  ต่อมาเมื่อเดือน  กค. 2551  ดิฉันกับแฟนได้ขอลาออกจากบริษัท ฯ ของเจ้านายเพื่อออกมาทำธุรกิจเอง  แต่เจ้านายไม่ยอมเพราะแฟนดิฉันเป็นพนักงานขายที่ลูกค้าสนิทสนมมาก  เจ้านายยื่นข้อเสนอให้ร่วมลงทุนร่วมกันแต่แฟนดิฉันไม่ยอมทำให้เจ้านายไม่พอใจมาก  เรียกดิฉันกับแฟนมาคุยให้คิดใหม่ว่าจะร่วมหุ้นกันหรือไม่  แฟนดิฉันก็ไม่ยอมท่าเดียวเพราะทำที่เดิมเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการไม่ดีเลย  อยากทำเองเพราะจะได้มีเงินใช้หนี้ที่เหลือ ลืมบอกค่ะว่าเงินที่นำมารวมทำสัญญาใหม่เป็นดอกเบี้ยนอกระบบนะคะ  2 % บ้าง  3% บ้าง  บางครั้งก็  10  %  แต่เค้าให้ทนายเป็นคนมาทำสัญญาและบังคับให้แฟนเป็นผู้กระทำและผู้กู้ร่วมด้วยโดยที่แฟนไม่ได้ทำและไม่ได้ยืมเงินเลย  มีแต่ดิฉันส่งหใทงบ้านหมดเพราะทางบ้านแย่มีแม่คนเดียวค่ะ   พอดิฉันเริ่มออกมาทำเองโดยที่ลูกค้ามาใช้บริการแฟนดิฉันมากเลย  แต่ก็เพิ่งเริ่มทำค่ะต้องลงทุน  ดิฉันก็ได้ชำระคืนไปบ้าง  30,000  บาท  ตั้งใจว่าหลังปีใหม่จะตั้งใจชำระให้ครบตามยอดที่กำหนดแต่ละเดือนตามสัญญา  แต่ทางทนายฝ่ายเจ้านายเค้าเป็นเซลส์เก่าที่นั่นด้วยเค้าก็ไม่ค่อยพอใจที่ลูกค้ามาใช้บริการกับแฟนดิฉันเค้าโทรมาว่าเค้าจะฟ้องอาญาดิฉันและจะทำให้แฟนดิฉันล้มละลายทำธุรกิจไม่ได้อีกต่อไป  จะเอาดิฉันเค้าคุกในความผิดอาญาเรื่องเก่า (ปลอมสัญญาเงินกู้เบิกเงินเมื่อปี  2546)  ค่ะ  จะรบกวนทนายช่วยได้ไหมคะถ้าเค้าฟ้องจะว่าจ้างท่านทนายสู้คดี  ได้ไหมคะ  แล้วจะติดคุกหรือเปล่า  ต้องประกันตัวใช้เงินเท่าไร  ดิฉันสู้ถึงที่สุดค่ะ  เพราะทนายเค้าขู่แต่เรื่องธุรกิจที่แข่งกันมากกว่าจะตามเงินอีกค่ะ