ผมตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา กรณีกู้ยืมเงินโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(เป็นบ้านสองชั้นพร้อมที่ดินเป็นชื่อแม่กู้ร่วม) เงินต้น 1,275,000 บาท แต่ไม่มีเงินที่จะชำระหนี้ได้รวมภาระดอกเบี้ยแล้ว เกือบสองล้านบาทครับ สุดท้ายเจ้าหนี้(ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง)ก็บังคับหลักทรัพย์ขายทอดตลาด (เจ้าหนี้เป็นผู้ซื้อไว้เอง ในราคา1,500,000 บาท) แต่ยังไม่พอกับหนี้และภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในขณะนั้น (เงินกู้ตามสัญญา 1,275,000 บาท) ต่อมา มค.2546 เจ้าหนี้ตามยึดทาวน์เฮ้าส์สามชั้นซึ่งผมได้ซื้อเพื่อให้ครอบครัวอยู่อาศัยและกำลังผ่อนชำระกับ ธ.อ.ส.อยู่(เจ้าพนักงานประเมินราคา 796,000 บาท)และพร้อมกับ เม.ย.2546ผมได้ทำบันทึกข้อตกลงปรับปรุงหนี้กับเจ้าหนี้โดยผ่อนชำระให้อีกเป็นเงินรวมประมาณ 173,000 บาท

          ก่อนหน้านั้นประมาณกลางปี 2544 ผมว่างงานไม่มีรายได้อื่น จึงขายรถยนต์ที่ใช้อยู่ให้กับเต้นท์รับซื้อรถยนต์ในราคา 190,000 บาท(หนึ่งแสนเก้าหมื่นบาท) พร้อมเซ็นเอกสารชุดโอนรถให้ไป เงินที่ได้จากการขายรถนำไปจ่ายชำระค่าบ้าน(ซึ่งเป็นหลังที่เจ้าหนี้ยึดไว้) ชำระประมาณเกือบ 80,000 บาท เงินส่วนที่เหลือจ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อซึ่งล้มป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองเป็นปีๆ และผมไว้เพื่อเลี้ยงชีพผมระหว่างว่างงานด้วย

          เจ้าหนี้ได้สืบทราบว่าผมได้มีการโอนรถยนต์คันที่ขายให้เต้นท์รถไป จึงเข้าแจ้งความต่อตำรวจว่าผมโกงเจ้าหนี้( ตามมาตรา 350 ป.อ.) พนักงานสอบสวนเรียกตัวผมไปเพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับผมและผมได้ให้การชี้แจงรายละเอียดว่าขายรถยนต์จริงแต่มิได้มีเจตนาโกงเจ้าหนี้แต่อย่างใด เงินที่ขายได้ต้องนำไปจ่ายชำระค่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาลพ่อ และไว้เลี้ยงชีพระหว่างตกงาน

          ผมขอเรียนถามนะครับ

1.พนักงานสอบสวนจะส่งฟ้องหรือไม่ครับ (เรียกตัวผมไปพบเมื่อต้นเดือน ต.ค.2551)

2.พนักงานอัยการจะส่งฟ้องหรือไม่ครับ ผมได้เรียนชี้แจงถึงความจำเป็นข้างต้นไปแล้ว และทางเจ้าหนี้ก็ได้บ้านพร้อมที่ดินไปแล้ว เงินผ่อนตามบันทึกข้อตกลง และยึดทาวน์เฮ้าส์สามชั้น(ติดภาระหนี้กับ ธ.อ.ส.อยู่)

3.ผมจะต้องถูกพิพากษาจำคุกหรือไม่ครับ

          ผมวิตกกังวลมาก กลัวไม่เคยประสบปัญหาอย่างนี้มาก่อน กรุณาตอบและแนะนำแนวทางให้กับผมด้วยครับ และเจ้าหนี้รายนี้ ได้ยื่นฟ้องผม กับแม่ให้ล้มละลายอีกด้วย

          ผมกำลังรอคำแนะนำอยู่ครับ

ขอบคุณครับ