-สัญญากู้ที่ขายตามท้องตลาด  ก็สามารถนำมาใช้ได้   ดอกเบี้ยต้องไม่เกินร้อยละ  15  ต่อปี...ผู้ค้ำฯควรทำสัญญาใหม่อีกหนึ่งฉบับ   โดยระบุว่าค้ำประกันเงินกู้ของ...... ตามสัญญาลงวันที่....จำนวนเงินกู้.......    แต่การเขียนด้านหลังก็พออนุโลมใช้ได้    ทำสัญญาเพียงสองเดือนก็ได้ครับ

1.หลักฐานที่บอกมา ก็ใช้ได้ครับ   เรื่องอากรฯกฎหมายระบุไว้ให้ปิดอากรฯ  เงิน 2,000  บาท  ปิดอากรฯ   1  บาท ดังนั้นที่ถามมาต้องปิดอากรฯ 5  บาท...    ผู้จ่ายค่าอากรฯ  คือผู้ให้กู้    ผู้ขีดฆ่าคือผู้กู้ พร้อมลงลายมือชื่อและวันที่กำกับไว้    ถ้าทำไม่ครบถ้วน  คงใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องไม่ได้.......แต่ถ้าเป็นหลักฐานการกู้ยืมที่ทำกันเอง   ไม่ต้องติดอากรฯก็ใช้ฟ้องร้องได้ครับ

-ปรกติสัญญาทำใบเดียวก็มีผลบังคับได้.....   ที่ทำสองชุด   ให้ผู้กู้และผู้ให้กู้ต่างเก็บไว้   ก็เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต   อาจมีการโต้แย้งว่าสัญญาไม่ถูกต้องหรือสัญญาปลอม   ต่างฝ่ายสามารถนำสัญญามาเปรียบเทียบกันว่า  ตรงกันหรือไม่.......ถ้าทำสองชุด  ก็ต้องระบุไว้ในสัญญาว่า   สัญญามีสองชุด   ข้อความตรงกัน   ให้  ผู้กู้ และ ผู้ให้กู้   เก็บไว้ฝ่ายละ  หนึ่งชุด...

-คำแนะนำ     ถ้ามีเงินควรฝากธนาคารไว้ปลอดภัยที่สุด   การให้เพื่อนกู้ยืมเงิน  แม้ทำหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์อย่างไร   ถ้าเขาไม่ยอมชดใช้   ก็ต้องไปฟ้องร้องทางศาล   ซึ่งคงไม่คุ้มค่า   หลายคนต้องเสียเพื่อน   มองหน้ากันไม่ติด   มีคติเตือนใจจากผู้สันทัดกรณีว่า    มีเงินอย่าให้เพื่อนกู้ยืม  เพราะคงเป็นศัตรูกันในที่สุดครับ

งั้น ตกลงว่า  สัญญาที่ให้ ผู้กู้ และ ผู้ให้กู้ เซนต์ ไม่ต้องติดอากร ก็ฟ้องศาลได้ จริงเหรอ...ชักงง เอาอาไรเป็นเกณฑ์

-หลักฐานการกู้ยืม  ที่มีลายมือชื่อของผู้กู้  ที่ทำกันขึ้นเอง  ก็สามารถฟ้องได้.....ที่บอกว่าต้องปิดอากรฯให้ครบถ้วนนั้น   เป็นกรณีที่ใช้สัญญาสำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาด    คือเมื่อนำสัญญาที่มีรูปแบบสำเร็จมาใช้    ก็จำเป็นต้องทำให้ครบถ้วนตามรูปแบบนั้นๆ   คือสัญญาสำเร็จรูปมีช่องให้ปิดอากรฯอยู่....ถ้าไม่ปิดอากรฯ  ถือว่าไม่ใช่ตราสาร   หากมีการฟ้องร้อง   ผู้กู้อาจโต้แย้งว่าสัญญาทำไม่ถูกต้องครบถ้วน   ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้    บางทีอาจถูกยกฟ้องเอาได้ง่ายๆ......

-แต่ตามกฎหมายแล้ว   การกู้ยืมเงิน   เพียงมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ยืม...ก็ฟ้องได้.......ใช้อะไรเป็นเกณฑ์....ในเมื่อท่านใช้สัญญาสำเร็จรูป    ท่านก็ต้องทำให้ครบตามรูปแบบของเขา   แต่ถ้าท่านทำหลักฐานกันเองก็ไม่ต้องคนึงถึงรูปแบบใดๆ   เพียงมีลายมือชื่อผู้กู้  ก็ใช้ได้....ดูประมวลกฎหมายแพ่งฯมาตรา 653 ประกอบครับ ขอยกฎีกามาให้พิจรณาสัก  2  กรณีครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2521

เอกสารเป็นจดหมายของจำเลยถึงโจทก์ และบันทึกของจำเลยว่าได้รับเงินกู้จากโจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 แต่มิใช่ตราสารการกู้ยืมเงินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 104 ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ก็ฟังเป็นพยานหลักฐานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4482/2550

การที่โจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงินครบถ้วนแล้ว และ ป.รัษฎากร มาตรา 117 ให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ แต่การปิดแสตมป์นั้นโจทก์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด เมื่อโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว สัญญากู้ยืมเงินย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ดังที่บัญญัติไว้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 ถือได้ว่าโจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคหนึ่ง

-หากท่านสนใจอยากศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก  ขอแนะนำให้  เข้าที่  www.supremecourt.or.th/     เพียงสมัครเป็นสมาชิก    ก็สามารถสืบค้นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หลายร้อยฎีกาครับ...

 ขอบคุณทุกๆคำตอบครับ ได้ความรู้เรื่องเงินกู้เพิ่มอีกแล้ว