1.ที่ต้องให้สามี เซ็นชื่อรับรองด้วย   อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่  คิดว่าเป็นสามีภรรยาก้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย  คงดูจากพฤติการณ์ที่อยู่ร่วมกันมีบุตรด้วยกัน ( แต่ตามปรกติเจ้าหน้าที่มักให้แนบสำเนาทะเบียนสมรสประกอด้วย)  จึงให้เซ็นชื่อยินยอมเพื่อป้องกันปัญหา  ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินโดยมิชอบ   เพราะไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส.....เมื่อที่ดินได้มาโดยที่สามีภรรยาไม่จดทะเบียนสมรส  ไม่ถือว่าเป็นสินสมรส   แต่สามีก็สามารถขอแบ่งได้ในฐานะหุ้นส่วน     แต่ในเมื่อมีชื่อภรรยาเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว   ภรรยาย่อมมีสิทธิดีกว่าสามี   การขอแบ่งในฐานะหุ้นส่วนคงทำได้ไม่ง่ายนัก....

2. สามีต้องรับผิดในหนี้สิน   ในฐานะลูกหนี้ร่วม ถ้าไม่ระบุไว้เป็นอย่างอื่น    ก็ต้องรับผิดในหนี้เท่าๆกันครับ

3.   ก็ขอแบ่งได้ในฐานะสามีของเขาเป็นหุ้นส่วน   ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าเขาจะดำเนินการอย่างไร

--เรื่องคำนำหน้าพิมพ์ผิดพลาด   มักเกิดขึ้นได้เสมอ......แต่ไม่ทำให้สถานภาพของคุณต้องต้องแปลงไป  คือถ้ายังไม่จดทะเบียนสมรส  สถานภาพก็ยังเป็นโสดอยู่เช่นเดิม    และในปัจจุบันแม้จดทะเบียนสมรสแล้ว   ก็ใช้คำหน้าว่า  นางสาวได้......เมื่อยังไม่จดทะเบียนสมรส   ทรัพย์สินที่ได้มาก็เข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน   ดังกล่าวข้างต้นครับ

-เมื่อโอนให้ลูกแล้ว   ผู้อื่นคงมาขอเพิกถอนไม่ได้...

-การจดทะเบียนรับรองบุตรต้องไปจดที่อำเภอ.......กรณีพ่อไปแจ้งเกิด   หรือรับรองว่าตนเป็นบิดาในการแจ้งเกิด   หรือการให้การศึกษาเลี้ยงดู .....   ถือว่าเป็นการให้การรับรองโดยปริยาย   ถ้ามีปัญหาเรื่องการขอรับมรดกในกรณีบิดาเสียชีวิต  ถ้าทายาทอื่นๆโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของบุตร   ก็สามารถอ้างเหตุต่างๆดังกล่าวข้างต้น   มาเป็นข้อต่อสู้ว่า  เด็กเป็นบุตรที่ได้รับการรับรองแล้ว   มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้.....  ซึ่งคงมีขั้นตอนมากมายพอสมควร   อย่างน้อยก็ต้องมีการร้องต่อศาล.......แต่ถ้าได้มีการจดทะเบียนรับรองบุตรโดยถูกต้องปัญหาการโต้แย้งต่างๆ  จะไม่เกิดขึ้น.....ดังนั้นถ้าบิดาอยู่ในฐานะไปจดทะเบียนรับรองบุตรได้(ตามที่เล่ามาบอกว่าบิดาป่วย...) ควรรีบดำเนิการโดยเร็วครับ