สวัสดีค่ะ ดิฉันมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาดังนี้

วันที่ 27 มีนาคม 2552 น้าสาวของดิฉันทะเลาะกับน้องสาวของดิฉัน (ซึ่งท้องประมาณ 4-5 เดือน ) โดยน้าสาวจะเข้าไปทำร้ายร่างกายน้องสาว แล้วน้องเขยก็เข้ามาห้ามค่ะ โดยพยายามดึงน้องสาวออกไปหลังบ้าน แต่น้าสาวก็ไม่ลดราวาศอกตรงเข้าทำร้ายน้องสาวของดิฉันอีก ดิฉันเห็นท่าไม่ดีเลยเข้าไปจะห้ามปรามแต่น้าสาวคิดว่าดิฉันจะเข้าไปช่วยทำร้ายเลยหันมาทำร้ายดิฉัน ดิฉันจึงต่อสู้ป้องกันตัวทะเลาะตบตีกับน้าสาวโดยที่ดิฉันตัวเล็กกว่า และในขณะนั้นดิฉันเป็นแม่ลูกอ่อนค่ะ ลูกดิฉันอายุได้ 10 เดือนเอง และดิฉันก็ผ่าคลอดด้วย ในขณะทะเลาะตบตีกันนั้นเราสองคนต่างก็ล้มลงไปที่พื้นโดยตะแคงหันหน้าเข้าหากัน แล้วเพื่อนน้องชายดิฉันซึ่งเป็นผู้หญิงก็เข้ามาช่วยห้ามแต่ก็ล้มลงไปด้วยกัน เพราะสู้แรงน้าสาวไม่ได้ จนน้องชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันซึ่งตัวอ้วนใหญ่ออกมาจากห้องน้ำเลยเข้ามาช่วยห้ามก็กระโดดเอาตัวกันดิฉันออกมาได้ ดิฉันมีบาดแผลบริเวณใบหน้าและลำคอ กระดุมเสื้อนอนขาด แต่น้าสาวบาดแผลภายนอกไม่มีเลย ที่สำคัญพอแยกจากกันทุกคนก็เห็นน้าสาวคว้าของอย่างหนึ่งขึ้นบ้านไป และดิฉันมารู้สึกตัวว่าสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท หายไปตอนที่น้าสาวขึ้นบ้านไปแล้ว ก็เลยพยายามช่วยกันหาสร้อยคอ ก็เจอส่วนที่ขาดตกอยู่แต่มีสร้อยบางส่วนหายไปพร้อมพระเลี่ยมทอง น้องสาวดิฉันเลยโทรบอกแม่ดิฉันให้กลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้านแม่ก็โทรแจ้งตำรวจสายตรวจ 2 นาย มาที่บ้าน แม่เคาะประตูห้องน้าสาวขอค้นแต่น้าสาวไม่ยอมเปิดประตู เลยแกล้งบอกจะงัดห้องแล้วน้าสาวก็โยนพระเลี่ยมทองกับเศษสร้อยลงทางหน้าต่างห้อง โดยมีพยานเป็นคนในบ้านและตำรวจ 2 นาย ตำรวจบอกให้แม่พาดิฉันไปแจ้งความแต่ทุกคนในบ้านไม่อยากเอาเรื่องน้าสาวและเห็นว่าได้ของคืนแล้ว แต่น้าสาวกลับไปแจ้งความเอาผิดกับดิฉัน ซึ่งทางตำรวจโทรมาที่บ้านให้ดิฉันไปที่โรงพัก ดิฉันกับแม่เดินทางไปที่โรงพัก เลยต้องแจ้งความกลับว่าทะเลาะวิวาทกันและตำรวจยังแจ้งข้อหาน้าสาวคดีลักทรัพย์ ต่างฝ่ายก็ต้องไปตรวจบาดแผลโดยตำรวจส่งตัวไป แต่น้าสาวขอให้ตำรวจส่งตัวไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ตำรวจก็ขอเหตุผลว่าทำใม น้าสาวบอกว่าเขาเคยมีประวัติการรักษาอยู่ที่นั้น ผลการรักษาออกมาว่ากระดูกเกี่ยวกับด้านหลังแตกยุบต้องกายภาพบำบัดและกินยาใช้เวลาประมาณ 90 วัน (ภาษาทางการแพทย์ประมาณนี้นะคะ) ซึ่งทำให้ดิฉันตกเป็นจำเลยในคดีทำร้ายผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สั่งฟ้องและเรื่องดำเนินไปจนจะนัดสืบพยานโจทก์เดือนหน้านี้ค่ะ ดิฉันอยากจะถามดังนี้ค่ะ

1.ดิฉันรับว่าทะเลาะวิวาทกันจริงแต่ไม่ได้ทำให้โจทก์บาดเจ็บสาหัส และที่ทะเลาะวิวาทกันเพราะเป็นการป้องกันตัวเนื่งจากเข้าไปช่วยน้องสาวที่ท้องอยู่จะถูกทำร้าย ดิฉันไม่ได้ปฏิเสธเพื่อต้องการให้ดิฉันพ้นผิดแต่ดิฉันพูดความจริงเลยต้องต่อสู้คดี แล้วดิฉันได้ข้อมูลมาว่าน้าสาวดิฉันเคยเข้ารักษาตัวเกี่ยวกับหลังและขาต้องทำกายภาพบำบัดตั้งแต่ปี 2551 และมีอาการดีขึ้นจนมาเกิดเรื่องช่วงต้นปี 2552 ข้อมูลนี้สามารถเป็นประโยชน์กับดิฉันมั๊ยค่ะ

2.พยานของโจทก์มีตำรวจเจ้าของคดี และหมอ และตัวน้าสาว แต่ดิฉันมีน้องสาวและน้องเขยเป็นพยาน ดิฉันจะต้องหาพยานที่น่าเชื่อถือกว่านี้มั๊ยค่ะเพราะดิฉันเกรงว่าศาลจะเห็นว่าน้องสาวกับน้องเขยต้องเข้าข้างดิฉันเพราะเป็นพี่น้องกัน แต่เรื่องเกิดในบ้านก็มีแต่คนในบ้านเท่านั้นค่ะ

3.ถ้าต่อสู้คดีแล้วดิฉันแพ้คดี โทษสูงสุดของดิฉันคืออะไรค่ะ ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีและไม่เคยต้องโทษมาก่อนและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตอนแรกตำรวจบอกให้ดิฉันยอมรับไปเต็มที่ก็รอลงอาญาแต่ดิฉันไม่ได้ทำผิดตามที่น้าสาวกล่าวอ้างและดิฉันไม่อยากมีคดีติดตัว ดิฉันเลือกที่จะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ก็กังวลใจว่าถ้าดิฉันแพ้คดี ดิฉันจะเป็นอย่างไรเพราะดิฉันเป็นห่วงลูกที่ยังเล็กอยู่ (ดิฉันจิกหัวน้าสาวอย่างเดียวค่ะไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวต่ำกว่าศรีษะเลย และดิฉันก็ไม่เคยมีเรื่องตบตีกับใครมาก่อน ไม่ได้ใช้อาวุธหรืออะไรทั้งนั้นค่ะ)

หลักฐานของดิฉันมีรูปบาดแผลบนใบหน้า และพยานเห็นเหตุการณ์ก็คือคนในครอบครัว และรูปถ่ายน้าสาวตอนอยู่บ้านบางทีแกก็แก้ผ้าค่ะ ถือมีดซามูไรด้วย ดิฉันลืมบอกไปค่ะว่าน้าสาวดิฉันเหมือนมีอาการทางจิตแต่ไม่ชัดเจน เวลาอยู่บ้านก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งกันแต่แกก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนในบ้านจนขึ้นโรงพักบ่อยๆ จนตำรวจที่โรงพักจำแกได้หมดค่ะ แต่เป็นคดีเล็กๆน้อยๆ

และหลังจากเกิดเหตุได้ 2 เดือน ลูกดิฉันก็ครบ 1 ขวบ ดิฉันเลยไปทำงานเป็นครูฝึกสอน แต่ทำได้เดือนเดียวก็ต้องออกจากงานเพราะน้าสาวถือมีดซามูไรเดินในบ้าน ดิฉันเป็นห่วงลูกเพราะที่บ้านตอนนั้นมีแต่ยายของดิฉันและก็ชวดของดิฉันค่ะ ช่วยให้คำแนะนำดิฉันด้วยนะค่ะตอนนี้ดิฉันกลุ้มใจมากเลย