ขอรบกวนถามท่านทนายและท่านผู้รู้ในบอร์ดนี้ หน่อยนะครับ  ขณะนี้ผมได้รับหมายเรียกจากศาลล้มละลายกลาง นัดนั่งพิจารณา ในวันที่ 26 พฤษภาคม 53 เพราะเป็นผู้ค้ำประกันให้กับห้างของพ่อกับบแม่ ผม

                เรื่องมีอยู่ว่า กิจการของพ่อกับแม่ได้ปิดกิจการเมื่อประมาณปี พ.ศ. 41 (วิกฤตต้มยำกุ้ง)ทุกคนในครอบครัวบ้านแตกเลยครับ พ่อแม่และพี่สาวไปอยู่ไร่ของญาต ผมกับพี่ชายมาอยู่เชียงใหม่ มาประมาณปี 48 พ่อกับแม่ได้ทราบ ว่า ถูกศาลล้มละลายกลาง ตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย ในปี 45 (ก่อนหน้านี้ไม่ทราบเลย) โดยเจ้าหนี้รายที่ 1   จึงหารือกัน และมีผู้แนะนำให้ผมกับพ่อแม่ ไปพบเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอประนอมหนี้หลังการล้มละลาย  เพราะเห็นว่าหลักประกันน่าจะมีมูลค่าพอที่จะชำระหนี้ได้  และลูกก้อไม่ต้องมาถูกฟ้องล้มละลาย ต่อ  การประชุมเจ้าหนี้เป็นผลครับ ขณะนั้นมีเจ้าหนี้มาขอเฉลี่ยหนี้อยู่ 4 ราย รวมทั้งผู้ฟ้องล้มในขณะนั้น

รายที่  1. มูลฟ้องประมาณ 90 ล้าน ปรับโครงสร้างหนี้ได้ 13 ล้าน (ผู้ฟ้องพ่อแม่ล้มละลาย)

รายที่  2. มูลฟ้องประมาณ 112 ล้าน ปรับโครงสร้างหนี้ได้ 35 ล้าน (ผู้ที่กำลังฟ้องผม)

รายที่  3.กรมสรรพากร ประมาณ 3 หมื่น (ให้ชำระก่อนมีประชุมเจ้าหนี้)

รายที่ 4. บ.ทีพีไอ. มูลฟ้อง ประมาณ 5 แสน ขอชำระได้ 2 แสน นำเงินที่เหลือจากการขายมาชำระให้ได้ภายใน 3 เดืน (ไม่มีหลักประกัน)

มีเงื่อนไขว่า  ให้ขายหลักประกันแล้วนำเงินมาชำระกับเจ้าหนี้ที่เป็นบุริมสิทธิในทรัพย์  โดยขายหลักประกันของรายใดได้  เจ้าหนี้รายอื่นจะไม่มาขอเฉลี่ยหนี้  มีการระบุราคาขายและระยะเวลาขาย กับหลักประกันทุกตัว มีกำหนดรวม 1 ปี ศาลมีคำสั่งเห็นด้วยกับการประนอมหนี้ครั้งนี้ (ปี 50) ทำเรื่องอยู่เกือบ 2 ปี  ผ่าน จบท.3  คน  มีกำหนดภายใน 1 ปี เนื่องจากว่าอายุของการปรับโครงสร้างหนี้ของรายที่ 2 ได้แค่นั้น ท่าจะขอขยายก็ต้องขอบอร์ดใหม่ (ผมลงนามร่วมเป็นผู้ขอปรับโครงสร้างหนี้ มีเอกสารปรากฏตามคำร้อง)  เมื่อมีคำสั่งศาลลงมา  ครอบครัวผมจึงช่วยกันเสนอขายให้กับผู้สนใจทั่วไป หน่วยงานราชการก็สนใจเพื่อนำไปเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคาร อบต.,และเทศบาล ถึงขนาดที่มีผลการประชุม มีมัติให้ซื้อที่ดินของพ่อแม่ แต่พอเอาเข้าจริงมาติดปัญหาของ พรบ.ระเบียบวิธีการซื้อ จึงต้องยกเลิกกันไป รายอื่นก็ลังเลเพราะไม่เชื่อว่าทำได้ ส่วนใหญ่มักจะรอซื้อขายทอดตลาด บางรายเห็นทรัพย์เราดี แต่คิดไม่ดี รอให้การประนอมหนี้ล้มไปก่อนแล้วคอยไปซื้อที่หลัง  แต่พ่อแม่ก็พยายามขายจนได้  ในเดือนที่ 4 หัวหน้า จบท. ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมีความเห็นว่า คำสั่งศาลเดือนที่ 4 ต้องขายทรัพย์ตัวไหนออกไปได้บางแล้ว  เงินที่ขายได้ในครั้งนี้ไม่พอ  ต้องวางเงินเป็นหลักประกัน ให้เต็มจำนวน  ถ้ามีความเห็นไม่ตรงต้องเขียนคำร้องต่อศาลใหม่  สรุปต้องขายให้ได้ในคราวเดี่ยวจากระยะเวลาที่เหลืออยู่  สุดท้าย ขายไม่ได้เพราะส่วนใหญ่จะรอซื้อจากการขายทอด (มีคนอยากให้ล้มต่อครับ)  กลับมาล้มตามเดิมสมใจครับ  ต่อมาปลายในปี 52   มีผู้แสดงตนว่าเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดได้ (ทรัพย์ของรายที่ 1) ผมไม่ทราบราคาซื้อขาย ก็ไม่ได้สนใจ จนมาเมื่อผมได้รับหมายเรียกจากศาลล้มละลาย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 53 นี้แหละครับ เหล่าเรื่องสะยาว ผมอยากทราบว่า

1.                          ผมจะขอประนอมหนี้โดยเอาหลักที่ว่า เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ขอประนอมหนี้ เจ้าหนี้(บสท.)ให้พ่อแม่และผู้ค้ำประกันร่วมกันชดใช้ หนี้ 35 ล้าน ผมอยากทราบว่าเรื่องที่เหล่ามานี้จะเป็นประโยชน์ทางใดได้บาง ในการเข้าเจราเจ้าหนี้ (ไม่อยากล้มครับ)ใจคิดว่าถ้าเจรจาให้ลดลงกว่านี้แล้วนำทรัพย์ออกขายภายใน 2ปี ผมน่าจะทำได้ 

2.                          ขณะนี้ผมมีกิจการ และมีวงเงินกู้อยู่กับธนาคาร รวมจำนวน 8.5 ล้าน มีหลักประกันเป็นบ้าน 2 หลัง มีภาระผ่อนรถยนต์อยู่ 2 คัน มีวงเงินบัตรเครดิต อีก 5 แสน และในแต่ละวันผมมีกระแสเงินสดผ่านบัญชีต่างๆรวมกัน ตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน  อยากทราบว่า เจ้าหนี้และ จบท. มีอำนาจทำอะไรกับทรัพย์ส่วนนี้ได้บาง ในระหว่างพิจารณาคดีนี้

3.                          ผมอยากทำการปลอดภาระจำนองบ้านออกไปซักหนึ่งหลัง ให้บุคคลอื่น โดยไม่ได้แถลงของทรัพย์ส่วนนี้ให้กับ จบท. ทราบครับว่าไม่ดี แต่อยากเก็บไว้ให้ลูกกับเมีย(หย่าปี 49) และพ่อแม่ที่มาอยู่กับผมด้วย     ขอคำแนะนำอื่นด้วยครับผมไม่กังวลเท่าไร ผ่านเรื่องร้ายมาเยอะ แต่ห่วงความรู้สึกพ่อแม่ ที่ต้องมาทำให้ผมต้องมาเป็นแบบนี้(ผมค้ำประกันให้พ่อกับแม่ตอนอายุ 22 ตอนนั้นยังไม่ทราบเรื่องเลยว่าไปเซนต์เรื่องอะไร)

ขอขอบพระคุณล่วงหน้ากับทุกคำตอบครับ