[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
ปรึกษากฎหมายแรงงาน | |
เรียนท่าน ทนายคามบริษัท ปมุขกฎหมาย จำกัด ผมจะขอความเมตตาจากท่านในการปรึกษาข้อกฏหมายและสิ่งที่พวกเราควรจะทำกันต่อไปโดยผมและเพื่อนๆเป็นพนักงานของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานย่อย5โรงและเราเป็นโรงงานลูกมีพนักงานเพียง16คนจากโรงงานแม่เคยมีสูงสุดถึง5000คน
เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เราได้เข้าร้องเรียนที่ศาลแรงงานภาค2 ด้วยกัน2เรื่อง คือ
1.โดยนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างงานเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2553
พวกเราเข้าแจ้งความในวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2553 ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยแต่นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามที่ได้รับปากกับพนักงานต่อหน้าศาลจึงเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี โดยศาลท่านมีคำพิพากษาในวันที่ 6พฤษภาคม ซึ่งได้บังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ ในวันที่10มิถุนายน 2553 และทำการประมูลขายทอดตลาดในวันที่ 20 กรกฏาคม 2553 ซึ่งมีกำหนดการเฉลี่ยทรัพย์ในวันที่ 4 สิงหาคม 2553 โดยที่ผ่านมาท่านผู้พิพากษาขอให้พนักงานรอและให้โอกาสนายจ้างทุกครั้งที่มีการไกล่เกลี่ยและพิจารณา แต่สุดท้ายในวันที่ 3สิงหาคม 2553 ทางนายจ้างได้ยื่นคำขอเพิกถอนการขายต่อศาลแรงงานจนทำให้การเฉลี่ยทรัพย์ต้องถูกระงับไว้ก่อนโดยท่านผู้พิพากษานักพิจารณาไปเกิบ2เดือน ในวันที่29กันยายน 2553
2.พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างเลิกจ้างเนื่องจากนายจ้างไม่จ่ายเงินค่าจ้างและถูกตัดน้ำ-ไฟ ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้
ซึ่งคดีนี้เป็นทั้งค่าแรงค้างจ่ายและค่าชดเชยจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยทางนายจ้างไม่ได้ร้องคัดค้านคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานแต่อย่างใด และกระบวนการก็ดำเนินมามีลักษณะเหมือนคดีแรก คือศาลแรงงานให้พนักงานให้โอกาสนายจ้าง ให้รอโดยการเลื่อนวันพิจารณาคดีไปเป็นเดือนแม้จะมีตัวอย่างว่านายจ้างไม่เคยปฏิบัติตามคำสั่งศาล จนมีคำพิพากษาในวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 โดยให้นายจ้างสามารถแบ่งจ่ายได้10งวดเท่าๆกัน งวดแรกในวันที่ 31 สิงหาคม 2553
ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของพวกเราถึงแม้จะมีระยะเวลาที่นานสักหน่อยแต่พวกเราก็ยังอดทนรอ จนที่สุดมีหมายมาจากศาลล้มละลายกลางว่า นายจ้างไปยื่นขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 จะพิจารณากลางเดือนหน้า พวกเราจึงเข้าไปขอคำปรึกษากับท่านผู้พิพากษาศาลแรงงาภาค2 ถึงแนวทางของคดีเราที่ได้ดำเนินมา และได้คำตอบว่า
คดีที่1. เงินที่อยู่กับบังคับคดีกำหนดเฉลี่ยทรัพย์ 4สิงหาคม 53 นายจ้างยื่นฟื้นฟูกิจการก่อน จึงต้องหยุดรอไปก่อน ถ้านายจ้างได้รับฟื้นฟูให้ไปยื่นขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าหนี้ที่ศาลล้มละลายกลางโดยไม่ต้องไปยื่นคัดค้าน
คดีที่2.ก็ต้องระงับไว้เหมือนคดีแรก ซึ่งเมื่อถึงกำหนดจ่ายงวดแรกในวันที่ 31สิงหาคม 53 ก็ไม่สามารถบังคับคดีได้
แต่เท่าที่พวกเราได้พูดคุยกับท่าน ท่านเองมีท่าทีทราบถึงการยื่นขอฟื้นฟูกิจการของนายจ้างก่อนพวกเราซะอีก
จึงขอเรียนปรึกษาท่านเนื่องจากพวกเราไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร และจะเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆพนักงานคนไทยด้วยกันของโรงงานในเครืออีกหลายร้อยคนซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างต่างชาติต่อไป
สุดท้ายขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าในคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับพวกเราครับ
ด้วยความนับถืออย่างสูง
เพื่อนๆพนักงาน
| |
ผู้ตั้งกระทู้ Nat :: วันที่ลงประกาศ 2010-08-29 11:13:33 IP : 1.46.242.242 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3208247) | |
การขอฟื้นฟูกิจการ เป็นกระบวนการที่ลูกหนี้(นายจ้าง)สามารถกระทำได้ ตาม พรบ.ล้มละลาย ก็ต้องทำตามที่ศาลท่านแนะนำ ความยุติธรรมไม่เคยมีในโลก เพราะพรบ.ล้มละลายฯที่ได้รับการแก้ไขใหม่ น่าจะเอื้อประโยชน์แก่ลูกหนี้(บริษัทใหญ่ๆ)มากกว่า ศาลก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะกฎหมายเปิดทางหนีให้ลูกหนี้ไว้แล้ว โดยฝ่ายที่ยกร่างกฎหมาย (สส.+สว.) ต่างมีความเชื่อว่า ถ้าบริษัทใหญ่ล้มละลาย จะเกิดผลเสียโดยรวมของเศรษฐกิจของประเทศ จึงพยายามมีกฎหมายมาอุ้มชูไว้ ส่วนเจ้าหนี้(ที่เป็นเพียงลูกจ้างจนๆ) ยังไม่มีกฎหมายที่ให้ช่วยเหลือไว้ที่ชัดเจน พวกท่านทั้งหลายจึงหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่เอื้ออำนวย ก็คงต้องรอต่อไป | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปลงเสียเถอะ วันที่ตอบ 2010-08-29 12:41:49 IP : 182.52.29.182 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1087699 |