คำพิพากษา/การบังคับคดี

  เมื่อผิดนัดการชำระหนี้   เมื่อมีการเตือนแล้วยังเพิกเฉย  เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องศาล  ก็สามารถส่งหมายไป ณ ภูมิลำเนาเติมที่เคยแจ้งไว้ได้  เมื่อไม่มีการยื่นคำให้การ และไม่ไปศาลตามนัด   ก็มีกระบวนการพิจารณาคดีไปโดยฝ่ายเดียวได้ (การขาดนัด)  ผลก็คือแพ้คดี ต้องชดใช้หนี้ตามที่ถูกฟ้อง  ก็จะมีการส่งหมายบังคับเพื่อแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ  ดังที่คุณได้รับแล้ว...  ก็ยังมีช่องทางเจรจากับเจ้าหนี้ได้อีก   โดยติดต่อไปที่เจ้าหนี้โดยตรง  ถ้าเจรจากันได้ลงตัว เช่นขอผ่อนชำระ หรือขอชำระก้อนเดียว ตามที่เห็นชอบทั้งสองฝ่าย     ก็ทำบันทึกไว้ให้ชัดเจน  เรื่องก็จะยุติ....ถ้าไม่มีการชำระหนี้  หรือไม่มีการเจรจาใดๆกับเจ้าหนี้   ก็คงมีการขอหมายบังคับคดีจากศาล  เพื่อสืบหาทรัพย์ เพื่อยึดมาเพื่อขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ได้  ถ้าไม่มีทรัพย์สินให้ยึด   เจ้าหนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้  ก็คงรอบังคับคดีภายในอายุความ 10 ปี นับแต่วันมีศาลคำพิพากษา....เรื่องถูกจำคุกไม่มี  เพราะเป็นความรับผิดทางแพ่งเท่านั้น  แต่คุณย่อมเสียเครดิต  ติดแบล็คลิส   จะทำธุรกรรมใดๆกับสถาบันการเงิน อาจจะถูกปฏิเสธ....ก็ต้องใจเย็นแก้ไขกันไปตามขัั้นตอน ที่ในหมายบอกว่า อาจจะมีการจับตัวไปคุมขัง  ก็ใช้ในกรณีที่ เจ้าหนี้ไปยึดทรัพย์ แต่เราขัดขวางไม่ให้ยึดไป   อาจถูกกักขังได้    แต่เพียงไม่ใช้หนี้  เพราะไม่มีจะจ่าย  ก็ไม่ต้องถูกกักขัง.....

 ขอบคุณมากๆนะคะ​ ยังไงก็ต้องใช้เพียงแต่อยากผ่อนจ่ายให้มากสุดได้แค่เดือนละ7000  แต่ไม่รู้ทางธนาคารจะยอมมั้ย​ พรุ่งนี้จะโทรไปถามค่ะ

ปล.แล้วค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์​ โดยกำหนดชำระค่าทนายความ​ 3000​ นี่คือเราต้องไปต่ายที่ไหนคะหรือว่าทางธนาคารบวกไปแล้วคะ

 การไกล่เกลี่ยเจรจา

   ถ้ามีการตกลงได้ลงตัว  เรื่องค่าฤชาธรรมเนียม  ค่าทนายความ  ก็ขอเหมารวมจ่ายไปด้วยกันก็สามารถทำได้  เช่นหนี้ที่ค้างสามหมื่นเศษ  รวมค่าฤชาฯ 33 สามพันบาท ก็สามารถเจรจาขอจ่ายไปก้อนเดียว  2-3 หมื่นบาท  หรือขอผ่อนเดือนละ  7 พันบาท ก็ได้  แต่การตกลงใดๆ  ต้องทำบันทึกไว้ ให้ชัดเจน และเก็บหลักฐานไว้ด้วย ครับ