เงิน 5 หมื่นในความคิดผมมันเป็นเงินที่เยอะมากครับ ซึ่งบางคนกว่าจะหามาได้นั้นอาจต้องใช้เวลามากพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนข้อเท็จจริงตรงนี้ถ้าอยากได้เงินคืนคงต้องไปแจ้งความกับตำรวจล่ะครับ (ถ้าในกรณีเคลียกับเขาดี ๆ ไม่ได้แล้ว) ซึ่งถ้าดูจากความผิดแล้วสามารถฟ้องร้องในความผิดฐาน ฉ้อโกง ได้ครับ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยังไงก็เตรียมพยานและหลักฐานเอาไว้ให้ดีนะครับ จะได้มัดผู้กระทำควาามผิดไม่ให้ไหลลื่น ขอให้โชคดีและได้เงินคืนในเร็ววันนะครับ สู้ ๆ

อ่อ ที่ผมตอบไปข้างบนเป็นการฟ้องในคดีอาญานะครับ ซึ่งถ้าชนะก็คงไม่ได้เงินคืนแต่ได้ความสะใจมาแทน

แล้วจะมีวิธีไหนบ้างครับ ที่จะได้เงินคืนบ้างครับ

 เมื่อเกิดสัญญาซื้อขายขึ้นแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ ผู้ซื้อต้องชำระราคาตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกัน เมื่อคุณพิสูจน์ได้ว่าคุณชำระราคาไปแล้ว แต่ผู้ซื้อไม่ทำหน้าที่ส่งมอบ นั่นคือเกิดการโต้เเย้งกันในเรื่องของสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเเพ่งขึ้นแล้ว  ทางที่ทำได้คือนำคดีไปฟ้องต่อศาลเเพ่งเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยส่งมอบทรัพย์นั้นมาให้ หรือถ้าส่งมอบไม่ได้ให้ชำระราคาคืนกลับมาให้โจทก์ต่อไป ศาลจะมีคำสั่งอย่างไร ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบในชั้นพิจารณาของศาลนะครับ

 ทั้งหมดคือสิทธิเรียกร้องในทางเเพ่งซึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง หรือจะทำไปทั้งสองทางเลยก็ได้ครับ

ตอนนี้ผมมีพยานอยู่ 2 คน

1  คือ พี่ชาย รับรู้และอยู่กับผมตอนจ่ายเงินงวดแรก

2 คือ เพื่อน เป็นคนที่ผมฝากเงินไว้ให้งวดที่ 2

แล้วหลักฐานคืออะไรครับ สัญญาซื้อขายอะไรผมก็ไม่มี มีแต่พยาน 2 คนที่รับรู้

แล้วการที่เราจะฟ้องศาลแพ่ง ผมต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง มันจะคุ้มกันไหมครับ

พี่ชาย และ เพื่อนที่คุณฝากเงินไว้นั่นล่ะครับ เพราะถือได้ว่าคุณได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้ว ตามมาตรา 456 วรรคสาม วางหลักไว้ว่า บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย กล่าวคือ ถ้าได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้ว ก็ฟ้องร้องได้ครับ ส่วนจะคุ้มหรือไม่นั้นผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ ต้องตัดสินใจเอาครับ