เมื่อตกลงซื้อขายโดยวางเงินมัดจำ  คุณสามารถฟ้องให้เขาโอนให้ได้   ก็มีหนังสือแบบจดหมายตอบรับ  แจ้งให้เขาไปจดทะเบียนโอนภายในเวลาอันสมควร  ถ้าเขาเพิกเฉย   ก็ฟ้องศาลให้เขาโอนให้ตามสัญญาได้  ถ้าจะให้สะดวกก็ให้ทนายความดำเนินการให้  โดยตกลงราคากันให้ชัดเจน   คุณไม่อ่อนประสบการณ์หรอก  ก็เป็นเรื่องของคนจะเบี้ยว  ถ้าคิดจะบิดพลิ้วแม้คิดป้องกันไว้อย่างดี  ก็ดันทุรังหลบเลี่ยงไปได้เสมอ

ขอขอบคุณ ผู้หวังดีค่ะ

       ปัญหาต่อมา ที่ดินผืนนี้ติดจำนองอีกธนาคารหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าของอ้างว่า ได้ขายบ้านพร้อมที่ดินอีกผืนหนึ่ง ( ซึ่งอยู่ติดกับ

ที่ดินที่เสนอขายให้ดิฉัน) เพื่อไถ่ถอนที่ดินผืนนี้ จึงได้เรียกเก็บเงินมัดจำจากดิฉัน และจะนัดโอนในวันเดียวกันกับลูกค้าอีกราย ซึ่งตอนนี้ดิฉันทราบแล้วว่า เป็นเรื่องที่กุขึ้นมา จึงไม่สามารถทำการโอนได้ เจ้าของจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมโอน และบ่ายเบี่ยงเฉยเมย กับเงินมัดจำที่เรียกเก็บไป ปรึกษาทางธนาคารแล้ว ธนาคารแจ้งว่าขอให้ระงับเรื่องสินเชื่อไว้เพียงเท่านี้ เพราะถ้านัดมาโอน โดยทางธนาคารออกเช็คให้แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่มาตามนัด ดิฉันต้องเสียค่าเสียหายให้กับทางธนาคารอีกก้อนหนึ่ง ถ้าเราจะฟ้องเรียกเงินมัดจำ 30,000 บาทคืน+เงิน2500บาท ที่จ่ายให้ทางธนาคารไปเพื่อดำเนินการประเมินการออกสินเชื่อ ไม่ทราบว่าจะเสียเงินคุ้มกับค่าจ้าง ทนายหรือไม่ ยื่น notice แต่ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายที่ 500 บาท  ฟ้องร้องไปจะใช้เวลานานมั๊ย เราจะต้องไปขึ้นศาลเองทุกครั้งหรือไม่ เรื่องน่าจะจบที่ประมาณไหน คู่กรณีทำงานเป็นข้าราชการอยู่ที่เทศบาลค่ะ ดูน่าเชื่อถือมาก

ถ้าดูแล้วมีปัญหาก็ฟ้องเรียกเงินมัดจำคืน  เรื่องจะคุ้มค่าหรือไม่    ถ้าว่ากันตรงๆ  ก็คงไม่ค่อยจะคุ้มค่านัก  แต่เมื่อมีปัญหาก็จำเป็นต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน   ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็เสียเงินมัดจำไปเปล่าๆ ก็ลองชั่งน้ำหนักดูว่าจะคุ้มค่าหรือไม่