ยอดเงินรวมๆ เป็นแสนนะครับ แต่มีสลิปอยู่แค่ประมาณ 40000 บาท

การที่คุณบอกว่าเขาหลอกนั้น หลอกอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์หรืออธิบายให้ได้ว่าเขาหลอกจริงหรือไม่จึงจะไปแจ้งความเป็นคดีอาญาได้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องให้ไปด้วยความสมัครใจโดยเป็นเรื่องการยืมเงินกันธรรมดาแบบนี้ไม่ต้องไปแจ้งความเพราะเป็นเรื่องทางแพ่งที่จะต้องไปฟ้องร้องกันเอาเอง แต่ในกรณีนี้ไม่มีหลักฐานใด ๆ เป็นหนังสือลงลายมื่อชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ครับ ส่วนสลิปของธนาคารมันไม่ใช่หลักฐานที่บ่งชี้อะไรว่าเขายืมเงินคุณไป เป็นเพียงแค่เอกสารแสดงการโอนเงินของน้องสาวคุณที่ทำการโอนให้เขาไปด้วยใจสมัครเท่านั้นครับ มันไม่สามารถไปพิสูจน์หรือบ่งชี้อะไรได้ว่าเงินที่โอนให้ไปนั่นเป็นเงินที่เกิดจากการกู้ยืมของฝ่ายชาย 

สรุป ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมื่อชื่อฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ ฟ้องร้องหรือเอาผิดอะไรไม่ได้เลยครับ  ก็คงเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งได้ว่าแม้จะเป็นคนที่รู้จัก หรือแม้กระทั่ง แฟน หรือญาติพี่น้อง หากมีการกู้ยืมเงินกันเป็นจำนวนมากต้องทำเป็นหนังสือจะดีที่สุด เพราะเงินมันไม่เข้าใครออกใครครับ (จิตใจคนเรายากแท้จะหยั่งถึง)

ขอบคุณ คุณ pup มากครับ

ที่สละเวลามาตอบคำถามครับ

หามิได้ครับ ยินดีเสมอหากตอบได้ผมก็ยินดีที่จะตอบให้ครับ ค่อนข้างจะเห็นใจอยู่เพราะเงินเป็นแสนไม่ใช่น้อย ๆ ก็เลยจะมาเพิ่มเติมให้ว่า หากตอนนี้ฝ่ายชายยอมทำสัญญาก็ได้นะครับ เพราะสัญญาจะทำกันตอนไหนก็ได้(ตราบใดที่ยังไม่ได้ไปฟ้องร้อง) ก็จะได้มีหลักประกันในวันข้างหน้าได้ โดยหลักฐานเป็นหนังสือนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ครับที่เป็นลายลักอักษรไม่จำเป็นจะต้องเป็นกระดาษอย่างเดียว เพียงแค่มีข้อความหรือมีความหมายที่ระบุได้ว่ามีการกู้ยิมเงินกันไปจริง เท่านี้ก็ใช้เป็นหลักฐานเพื่อฟ้องร้องได้แล้วครับ แต่ปัญหาคือเขาจะไม่ยอมทำสัญญาด้วยนี่สิครับปัญหาใหญ่

ขอบคุณมากครับ

เดี๋ยวจะลองติดต่อไปทางตำรวจดูครับ ให้ตำรวจช่วยไกล่เกลี่ย ให้ทางฝ่ายชายทำสัญญากู้เงิน

คุณ pup คิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ

เอ่อ เรื่องนี้ไม่ใช่คดีอาญาอย่างที่กล่าวไป ดังนั้นตำรวจไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะไปบังคับให้อีกฝ่ายมาทำสัญญาอะไรได้ เพราะคุณก็มิได้มีหลักฐานอะไรที่ทำให้เขาเชื่อได้ว่าฝ่ายชายยืมเงินไป ถึงต่อให้มีก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปตกลงกันเอง ไม่มีใครที่มีอำนาจไปบังคับให้อีกคนไปทำนิติกรรมโดยใจไม่สมัครได้ครับ มันเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย หากทำดังนั้นมันอาจจะเป็นเหตุให้เขาอ้างการถูกบังคับ ขู่เข็ญในการทำสัญญาซึ่งถือเป็นการกระทำที่เป็นความผิดอาญาได้นะครับอีกทั้งนิติกรรมนั้นอาจตกเป็นโมฆียะได้ สรุปคือมันไม่ใช่งานหรือหน้าที่ของตำรวจโดยตรงครับที่จะไปเจรจาหรือไกล่เกลี่ยในเรื่องทางแพ่ง หากแต่เป็นเรื่องที่จะต้องไปพูดคุยหรือตกลงกันเองด้วยความสมัครใจมากกว่า แต่ถ้าตำรวจเขายอมมาช่วยพูดอันนี้ก็ไม่ว่ากันครับเพราะเป็นสิ่งที่กฏหมายไม่ได้ห้ามทำ(แต่ส่วนใหญ่เขาจะไม่มาเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน) แต่ต้องไม่เป็นการข่มขู่หรือบังคับให้ทำสัญญานะครับนิติกรรมมันจึงจะสมบูรณ์