ReadyPlanet.com


ครอบครองโดยปรปักษ์


 สวัสดีค่ะ

มีเรื่องอยู่ว่า

1. แม่และดิฉันอาศัยอยูี่่ในบ้านของพ่อเลี้ยง 30 กว่าปีแล้ว โดยแม่ไม่ได้จดทะเบียน ส่วนพ่อเลี้ยงมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว (ซึ่งแม่ดิฉันมาทราบภายหลัง) ส่วนภรรยาหลวงอยู่กันคนละที่  และจดทะเบียนสมรสมีบุตรแล้ว 

2. บ้านที่อาศัยปัจจุบันนี้ ตอนซื้อ 400000 บาท เป็นบ้านที่แม่ออกเงินครึ่งหนึ่งพ่อเลี้ยงครึ่งหนึ่ง แต่เป็นชื่อของพ่อเลี้ยง(แม่ไม่ค่อยรู้กฏหมาย) (พ่อเลี้ยงจะไปๆมาๆ ระหว่าง 2 บ้าน )และพ่อตั้งใจจะมาโอนที่ดินให้แม่ แต่พ่อเลี้ยงเสียชีวิตเสียก่อน ระหว่างนี้แม่ดิฉันก็เสียภาษี แต่ใบเสร็จเป็นชื่อเจ้าของคือชื่อพ่อ

3. ก็เลยจ้างทนายให้สืบค้นและทำหนังสือไปยังบ้านภรรยาหลวง (ภรรยาหลวงแจ้งว่าเพิ่งทราบว่าสามีมีที่ดินอีกแปลงกับภรรยาน้อยด้วย จึงชวนลูกๆเดินทางมาดูบ้านดิฉันและแม่  และได้พบปะเพื่อตกลงออมชอมกัน คุยกันว่าแม่ดิฉัน(ภรรยาน้อย) จะยอมเสียเงินให้ภรรยาหลวง 250000  และทำการโอนที่ดินให้แม่ดิฉัน  ทั้งภรรยาหลวงและลูกๆที่มาตกลงตามนี้ และนัดวันที่ภรรยาหลวงและลูกๆมาเซ็นโอนพร้อมชำระเงิน   

4. แต่ปรกฏว่าหลังจากนั้น ด้านภรรยาหลวงพลิกลิ้น แจ้งว่าลูกอีกคนที่ไม่ได้มาดูบ้านไม่ยอม จะขอแบ่งหรือไม่ยอมเซ็นให้เพราะถือว่าเป็นสมบัติพ่อควรได้ลูกและภรรยาหลวงเท่านั้น

5. รบกวนสอบถามต้องทำอย่างไรดีค่ะ เพราะบ้านที่ดิฉันและแม่อยู่ เป็นทรัพย์สมบัติที่แม่ออกครึ่งหนึ่ง แต่เป็นชื่อพ่อเลี้ยง มีพยานเซ้นการซื้อขาย (พยานที่เซ็นก็ทราบว่าแม่ออกครึ่งหนึ่งแต่ในเอกสารไม่ได้ระบุเป็นชื่อพ่อเลียงหมด)  และบ้านนี้ก็อยู่มา30 กว่าปีแล้ว โดยมีการต่อเติมบ้านเพิ่มเติม

6. รบกวนหน่อยนะค่ะ เขียนวกวนงง แต่ตอนนี้เดือดร้อนมากเลย ปรึกษาที่ดินเค้าบอกกรณีจะโอนกัน ลูกๆของเค้าต้องเซ้นครบทุกคน (มีปัญหาแค่คนเดียวเท่าน้นที่ไม่เซ็น) 

7.อย่างนี้ถ้าดิฉันกับแม่ต้องขึ้นศาล ภรรยาหลวงเค้าจะได้ทั้งหมดหรือเปล่า หรือแม่ดิฉัน(ภรรยาน้อย)มีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง หรือต้องทำอย่างไรค่ะ รบกวนด้วยค่ะ

เพิ่มเติมนะค่ะ

 

ตอนนีฺ้ดิฉันและแม่ มีบ้านหลังนี้หลังเดียว นอกนั้นไม่มีสมบัติอื่นเลย  และ 30 กว่าปีที่อาศัยบ้านหลังนี้ ทางภรรยาหลวงและลูกๆเค้า ไม่เคยทราบเรื่องนี้ และไม่เคยคบหาสมาคมกันเลย (มีระยะหลังๆ พ่อไม่มาหาแม่แลย ห่างๆกันไป ครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต 15 วัน พ่อโทรศัพท์แจ้งว่าจะมาทำการโอนที่ดินให้แม่ แต่พ่อก็มาเสียชีวิตเสียก่อน แม่และดิฉันพอทราบเรื่องก็รีบสืบโดยว่าจ้างทนาย (ทางภรรยาหลวงก็เพิ่งมาทราบเมื่อทนายเราส่งจดหมายไปว่ายังมีที่บ้านอีกทีที่อยู่กับภรรยาน้อย)

  ดิฉันและแม่ จะมีแค่พยานบุคคล2 คน เท่านั้นที่รู้เห็นเรื่องนี้ว่าจ่ายกันคนละครึ่ง พยานบุคคลนี้ก็คือเจ้าของที่ดินเก่าที่ขายบ้านให้พ่อเลี้ยง  และผู้บังคับบัญชาของพ่อเลี้ยงค่ะ ที่มีการเซ้นตอนซื้อขาย

----------------------------

1-2-3  ถ้าว่ากันตามกฎหมายแม่ของคุณไม่สิทธิใดๆในบ้านหลังนี้ เพราะเป็นสินสมรสที่ซื้อระหว่างสมรสกับภรรยาเขา  เมื่อสามีเสียชีวิต  ทายาทย่อมเรียกร้องมรดกส่วนนี้ไปแบ่งกันในหมู่ทายาทได้  ก็เป็นความผิดพลาดที่ไปจ้างทนายที่คงข้างเซ่อ  ให้ติดต่อไปยังภรรยาหลวง  ใครเขาจะยอมปล่อยโอกาสทองนี้ไป   ถ้าอยู่เฉยไม่ต้องไปทำอะไร  เมื่อผ่านไปสิบปี  คุณแม่ของคุณยังพออ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ได้   ก็มีทนายความจำนวนไม่น้อยพาลูกความต้องพบกับความวิบัติ  คือแพ้คดีทั้งที่ไม่น่าจะแพ้  หรือเป็นคดีอาญา ก็ให้ลูกความต้องถูกจำคุกเพราะความอ่อนหัด  พูดตามประสบการณ์ ทนายความที่ดีๆ   ก็ต้องยอมรับความจริงว่าเรื่องอย่างนี้มีอยู่จริง  และจะยังคงมีอยู่ต่อไป

4-5-6.  ก็ลองใช้การเจรจาประนีประนอมกันต่อไป  ถ้าตกลงกันไม่ได้จริงๆ    ก็ปล่อยให้ไปฟ้องร้องเอา  และให้คุณแม่ของคุณติดตามสืบหาทนายที่มือถึงหน่อยช่วยเหลือในการต่อสู้ ในประเด็นที่คุณแม่ของคณช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง  และคุณแม่ไม่ทราบมาก่อนว่าเขามีภรรยาแล้ว  คุณกับคุณแม่  หลังพิงฝาแล้วคงถอยไม่ได้   คดีทำนองนี้เมื่อขึ้นศาล  ศาลมักให้มีการไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันเสมอ  ก็ใช้โอกาสนี้คุยตกลงกับพวกเขาดู   และกำหนดการต่างๆอย่าเพิกเฉย ควรไปศาลตามนัดทุกครั้ง  ไม่ควรมอบอำนาจให้ทนายความต่อสู้โดยลำพัง  เพราะอาจผิดพลาดได้....จงเชิดหน้าชูคอต่อสู้ให้เต็มที่  เพราะคุณและคุณแม่ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกแล้ว

 

*********************

รบกวนหน่อยนะค่ะ ที่ว่า 10 ปีมีสิทธิ์ครอบครอง  แต่ถ้าอยู่ 30 ปี เราสามารถครอบครองโดยปรปักษ์ได้ไหมค่ะ ต้องดำเนินการอย่างไรบ้างค่ะ/  รบกวนด้วยค่ะ /ขอบคุณมากๆค่ะ

 



ผู้ตั้งกระทู้ สอบถามเพิ่มเติม :: วันที่ลงประกาศ 2011-05-05 10:54:01 IP : 58.8.83.233


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3244201)

การที่จะอ้างครอบครองปรปักษ์จะต้องมีระยะเวลา 10 ปีขึ้นไปถึงจะอ้างได้ นี่คือความหมายของเวลา 10 ปีตามที่คุณ คงคา กล่าวไว้ครับ ก็หมายความว่า 30 ปีของคุณมันเข้าองค์ประกอบในส่วนของเวลาแล้วครับเพราะมันเกินมาตั้ง 3 เท่า ส่วนการจะให้ได้สิทธิมาก็ต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาลว่าครบองค์ประกอบที่จะอ้างได้หรือไม่ อย่างไร และศาลท่านจะเป็นคนสั่งเองว่าคุณจะมีสิทธิในที่ดินนั้นหรือไม่

ส่วนประเด็นที่แม่คุณออกเงินซื้อบ้านกับพ่อคุณคนละครึ่่งนึงนั้นขอเห็นต่างนิดนึง ในมุมมองของผมผมมองว่ามันเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมนะครับ กล่าวคือแม่คุณมีกรรมสิทธิ์ครึ่งนึงนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขายแล้วครับ แม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือเป็นภรรยาน้อยก็ตามกรรมสิทธิ์ตรงนั้นก็ไม่น่าจะรวมเข้าไปในสินสมรสของฝ่ายชายได้ เพราะส่วนของฝ่ายชายมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่จะไปรวมเป็นสินสมรสได้  เพียงแต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าแม่คุณออกเงินไปครึ่งนึงจริง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น pup วันที่ตอบ 2011-05-05 13:38:18 IP : 110.168.171.126


ความคิดเห็นที่ 2 (3244255)

 ต้องขอบคุณคุณคงคาและคุณ pup มากเลยค่ะที่ให้ความกระจ่างและความหวังขึ้นมา

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่รู้กฏหมาย วันที่ตอบ 2011-05-06 08:13:47 IP : 61.90.41.254



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.