[ หน้าแรก ] | [ เกี่ยวกับปมุขกฎหมาย ] | [ บริการของปมุขกฎหมาย ] | [ กระดานปรึกษากฎหมาย ] | [รวม Link ที่น่าสนใจ ] |
ช่วยหนูด้วย3 | |
หนูเป็นผู้หญิงอายุ 35 ปี ขับรถมอเตอร์ไซด์กลับจากทำงานตอน 3 ทุ่ม คนเดียว มาตามถนนหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนชนบทลาดยาง ถึงที่เกิดเหตุมีชายฉกรรจ์มาทราบภายหลัง คือ ชุด ชรบ.ยืนดักอยู 3 คน ดาบตำรวจ 1 นาย กำลังค้นมอเตอร์ไซด์อยู่ 1 คัน บนถนนช่องเลนซ้าย หนูตกใจมากเพราะมันมืดและมองไม่เห็น พอเห็นก็ใกล้มากแล้ว หนูตกใจจะขับผ่านแต่เกิดเฉี่ยวกับรถกลุ่มคนดังกล่าว หนูรถล้มบาดเจ็บหลายแห่ง ฟันหัก 3 ซี่ โยกอีก 5 ซี่ มีกู้ภัยนำส่งโรงพยาบาล หนูมาทราบภายหลังว่าฝ่าย ชรบ.ก็บาดเจ็บเหมือนกัน คือ ขาหัก 1 คน และหัวแตกเย็บ 2 เข็ม อีก 1 คน แต่รถมอเตอร์ไซด์ไม่เสียหาย แต่ของหนูเสียหายมาก เรื่องถึงโรงฟังหนูแปลกใจที่กลุ่มตำรวจและชรบ.จะให้หนูชดใช้ค่าบาทเจ็บ คนขาหัก 1 แสน คนหัวแตก 50000 บาท หนูงง ที่จริงหนูต้องเป็นฝ่ายเรียกร้องค่าเสียหายไม่ใช่หรือคะ หนูงงไปหมดไม่รู้จะพึ่งใคร นี่ก็ตกลงไม่ได้ หนูอยากให้เรื่องจบๆ ตามคำแนะนำของคุณมโนธรรม โดยไม่เรียกร้องอะไรจากฝ่ายเขา และก็จะหาเงินช่วยเขา สัก 20000 บาท เขาก็ไม่เอา พนักงานสอบสวนก็บอกจะส่งสำนวนไปที่ศาลให้ศาลตัดสิน หนูอยากถาม 1.คดีแบบนี้ใครจะชนะคดีคะ 2.หนูก็แจ้งความเขาเหมือนกันค่ะว่าประมาทและผิดกฏหมาย เรียกเงินชดใช้ ค่ารักษาตัวและซ่อมมอเตอร์ไซด์ 30000 บาท ที่หนูยอมให้เขา 20000 บาท เพราะหนูกลัวค่ะ 3.อยากให้อธิบายขั้นตอนที่ศาลแบบละเอียดด้วยค่ะ 4.หากหนูไม่มีเงินจ้างทนาย หนูจะยื่นคำร้องเอง และจะให้คำต่อศาลเองได้ไหมคะ เพราะหนูก็จะพูดตามจริงค่ะ มีทนายความอาสาช่วยเขียนสำนวนและให้คำปรึกษาที่ศาลไหมคะ 5.หนูมีพยานที่เกิดเหตุช่วยยืนยันความจริง 3 คน ค่ะ 6.หนูมีภาพถ่ายที่ยืนยันว่าพวกเขาดักตรวจบนถนนเพราะตรงนั้นไหล่ถนนนอกเส้นขาวกว้าง 60 ซม.เองค่ะ ยืนคนเดียวยังไม่ได้เลยค่ะ และ ภาพถ่ายที่ดิฉันบาดเจ็บ ภาพรถเสียหาย หนูจะต้องให้ศาลตอนไหนคะ แล้วก็เรื่องตำรวจสัญญาบัตรในสำนวนไกล่เกลี่ยระบุค่ะว่ามีแต่ดาบตำรวจเท่านั้น 7.ผู้รู้ทุกท่านช่วยให้คำแนะนำหนูหน่อยค่ะ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ คนเย็บผ้าโหล :: วันที่ลงประกาศ 2012-06-06 18:04:24 IP : 182.93.182.133 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3288690) | |
1.คดีแบบนี้ใครจะชนะคดีคะ
ตอบ....ผู้ที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย คือผู้ที่ประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ บาดเจ็บและเสียหายต่อทรัพย์สิน...ใครจะเป็นฝ่ายประมาท ก็ต้องดูข้อเท็จจริงโดยละเอียด ประกอบพยานหลักฐาน หรือพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์.... ความเห็นของร้อยเวรเจ้าของคดี จะมีผลต่อรูปคดีค่อนข้างมาก และศาลมักรับฟัง เพราะไปตรวจที่เกิดเหตุ ประกอบกับเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติตามหน้าที่..... 2.หนูก็แจ้งความเขาเหมือนกันค่ะว่าประมาทและผิดกฏหมาย เรียกเงินชดใช้ ค่ารักษาตัวและซ่อมมอเตอร์ไซด์ 30000 บาท ที่หนูยอมให้เขา 20000 บาท เพราะหนูกลัวค่ะ
ตอบ.......ถ้าคุณไม่ประมาทก็ไม่ต้องรับผิด ที่ยอมชดใช้ไป ก็อ้างได้ว่าเพราะความกลัว ไม่ใช่ยอมรับว่าเป็นฝ่ายประมาท เพราะจะประมาทหรือไม่ อยู่ที่ข้อเท็จจริง ตามที่เล่ามา ฝ่ายเขาน่าจะมีส่วนประมาทด้วย จะมาเรียกค่าเสียหายจนสูงลิ่ว ก็คงต้องพิสูจนฺกันว่าใครประมาท หรือประมาทร่วม ครับ
3.อยากให้อธิบายขั้นตอนที่ศาลแบบละเอียดด้วยค่ะ
ตอบ.....ุถ้าเจรจาค่าเสียหายกันไม่ประสบผล ตำรวจก็คงแนะนำให้ไปฟ้องร้องกันเอง เว้นแต่อัยการจะฟ้องคุณในความผิดอาญา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ตาม ปอ. ม.300 คู่กรณีของคุณก็สามารถร้องศาลให้เรียกค่าเสียหายไปในคำฟ้องได้.......ถ้าฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ก็ต้องหาทนายช่วยเหลือในการต่อสู้คดีเอาเองครับ
4.หากหนูไม่มีเงินจ้างทนาย หนูจะยื่นคำร้องเอง และจะให้คำต่อศาลเองได้ไหมคะ เพราะหนูก็จะพูดตามจริงค่ะ มีทนายความอาสาช่วยเขียนสำนวนและให้คำปรึกษาที่ศาลไหมคะ
ตอบ.....การไม่มีทนายช่วยเหลือ เป็นสุ่มเสี่ยงค่อนข้างสูง ลองติดสภาทนายความเพื่อขอช่วยเหลือ สายด่วน 1167 ครับ
5.หนูมีพยานที่เกิดเหตุช่วยยืนยันความจริง 3 คน ค่ะ
ตอบ....ต้องให้ทนายความฟังคำบอกเล่าของพยานก่อนว่า มีผลทำให้คุณเป็นเป็นผู้ไม่ประมาทจริงหรือไม่...เพราะคุณจะพ้นผิดได้ ต้องไม่เป็นผู้ประมาทครับ
6.หนูมีภาพถ่ายที่ยืนยันว่าพวกเขาดักตรวจบนถนนเพราะตรงนั้นไหล่ถนนนอกเส้นขาวกว้าง 60 ซม.เองค่ะ ยืนคนเดียวยังไม่ได้เลยค่ะ และ ภาพถ่ายที่ดิฉันบาดเจ็บ ภาพรถเสียหาย หนูจะต้องให้ศาลตอนไหนคะ แล้วก็เรื่องตำรวจสัญญาบัตรในสำนวนไกล่เกลี่ยระบุค่ะว่ามีแต่ดาบตำรวจเท่านั้น
ตอบ....ก็เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อยืนยันได้ว่าคุณไม่ใช่ผู้ประมาท หรือ น่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย ที่คุณไม่ต้องรับผิด หรือเป็นการประมาทร่วม ที่ความผิดของคุณย่อมลดลงครับ
7.ผู้รู้ทุกท่านช่วยให้คำแนะนำหนูหน่อยค่ะ
ตอบ....ก็ได้พยายามแนะนำมากพอพอควรแล้วครับ.... มีแนวคำพิพากษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้คุณได้พิจารณาดูครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1941/2544
พนักงานอัยการจังหวัดพะเยา
โจทก์
นายวิชาญ อินทรากูล กับพวก
จำเลย
ป.อ. มาตรา 300
ป.วิ.อ. มาตรา 37, 39, 227, 243
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 157
จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย และรถทั้งสองคันเสียหาย จำเลยที่ 2 ศีรษะแตกยาว 3 เซนติเมตร รวม 4 แผล กับกระดูกเข่าซ้ายแตกใช้เวลารักษาหายภายใน 1 เดือนเป็นอย่างน้อย จำเลยที่ 2 มีโอกาสหายเป็นปกติได้แต่ใช้เวลาหลายปี จำเลยที่ 2 มาเบิกความ จำเลยที่ 2 ยังไม่หายดี เดินกระเผลก แสดงว่าจำเลยที่ 2 ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน กับส่วนการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่ารักษาประมาณ 1 เดือนหาย เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้นของแพทย์ผู้ตรวจรักษาจำเลยที่ 2 เท่านั้น จะฟังเป็นยุติหาได้ไม่ ต้องฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนด้วย
แม้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 2 ข้อหาขับรถประมาทไปแล้ว ก็เป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หาได้ทำให้คดีของจำเลยที่ 1 เลิกกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 37 ไม่ และการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ทำให้สิทธินำคดีนี้ซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวมาฟ้องระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน พะเยา ท - ๐๐๙๕ เฉี่ยวชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก - ๓๔๗๗ พะเยา ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับ เป็นเหตุให้ รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย ?
ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่นั้นโจทก์มีนายแพทย์ประพัฒน์ ชัชวรัตน์ เบิกความว่า จำเลยที่ ๒ ศีรษะแตกยาว ๓ เซนติเมตร รวม ๔ แผล กับกระดูกเข่าซ้ายแตกใช้เวลารักษาหายภายใน ๑ เดือนเป็นอย่างน้อยและตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๒ มีโอกาสหายเป็นปกติได้แต่ใช้เวลาหลายปี ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็เบิกความว่า ปัจจุบันจำเลยที่ ๒ ยังไม่หายดีเดินกระเผลก แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและ จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่ารักษาประมาณ ๑ เดือนหาย ต้องฟังข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวนั้น เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเพียง ความเห็นเบื้องต้นของนายแพทย์ประพัฒน์ผู้ตรวจรักษาจำเลยที่ ๒ เท่านั้น จะฟังเป็นยุติได้ไม่ ต้องฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนด้วย ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อต่อไปมีว่าคดีของจำเลยที่ ๑ เลิกกันตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๗ และสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ หรือไม่ จำเลยที่ ๑ ฎีกาปัญหาข้อนี้ว่า พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ ๒ ข้อหาขับรถประมาท ไปแล้ว จึงถือว่าคดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๗ และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ เรื่องค่าเสียหายแล้ว สิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ เห็นว่า แม้จะฟังว่าพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวจริง ก็เป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ หาได้ทำให้คดีของจำเลยที่ ๑ เลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๗ ไม่ และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ ก็มิได้ทำให้สิทธินำคดีนี้ซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ แต่ประการใด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับ ๖,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ มีกำหนด ๒ ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ .
( ทองหล่อ โฉมงาม - วิรัช ลิ้มวิชัย - สุรพล เจียมจูไร )
ศาลจังหวัดพะเยา - นายอนุรัตน์ ฤกษ์วิชานันท์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 - นายธีระศักดิ์ จิระภาค
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-06-06 19:13:08 IP : 180.180.23.240 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3288741) | |
ขอบคุณค่ะ เพิ่มเติมค่ะ ถ้าหากหนูจะแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับชรบ. 2 คน ตาม ปอ.ม.93 และดาบตำรวจ ตาม ปอ.ม.157เพราะว่า ชรบ.ไม่ใช่พนักงานตามกฎหมาย ฝ่ายดาบตำรวจก็ทำเกินหน้าที่ตนเอง หนูต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนครั้งเดียวกันเลยหรือเปล่าคะ เพราะว่าเขานัดหนูให้ไปแจ้งความในวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน ครั้งแรกหนูจะแจ้งความว่าพวกเขาประมาทและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะว่ากักตรวจไม่มีสัญญานไฟ มืด ไม่มีสัญญาบัตร บนถนน ทำให้หนูบาดเจ็บสาหัสทรัพย์สินเสียหายเรียกค่าเสียหาย 30000 บาท พนักงานสอบสวนก็รับทราบแล้วค่ะ หากอย่างไรช่วยแนะนำการแจ้งความด้วยนะคะ พิมพ์เป็นข้อความมาเลยก็ดีนะคะหนูจะได้แจ้งความตามนั้น ส่วนเรื่องทนายหนูจะโทรเบอร์ 1167 ตามที่บอกนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนเย็บผ้าโหล วันที่ตอบ 2012-06-07 08:55:45 IP : 182.93.182.133 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3288769) | |
ถ้าการตั้งด่านไม่มี ปลัดอเภอ หรือ นายตำรวจยศร้อยตรีขึ้นไป อยู่ด้วย ย่อมมีความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัตเิหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ปอ. ม.157 ส่วน ม.93 ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีของคุณ.... ก็แจ้งด้วยความวาจา(ร้องทุกข์)ให้ตำรวจบันทึกไว้ก็ได้ครับ.....กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ...ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ......การการสืบสวน สอบสวน...การตั้งต่าน
มาตรา ๑๘ ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอำเภอ และข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตนได้
......การร้องทุกข์ (แจ้งความ)...
มาตรา ๑๒๓ ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้
คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ ลักษณะแห่งความผิดพฤติการณ์ต่างๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับและชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่จะบอกได้
คำร้องทุกข์นี้จะทำเป็นหนังสือหรือร้องด้วยปากก็ได้ ถ้าเป็นหนังสือต้องมีวันเดือนปี และลายมือชื่อของผู้ร้องทุกข์ ถ้าร้องด้วยปาก ให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ ลงวันเดือนปีและลงลายมือชื่อผู้บันทึกกับผู้ร้องทุกข์ในบันทึกนั้น
......ประมวลกฎหมายอาญา.....
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2012-06-07 12:44:04 IP : 180.180.29.153 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3288976) | |
ชรบ. เข้าข่ายความผิด ปอ.มาตรา 93 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถานเว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้น ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด ตำรวจเข้าข่ายความผิดปอ. มาตรา 157บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ การร้องทุกข์ก็ตามที่คุณมโนธรรมบอก แต่แนะนำให้เป็นหนังสือ ลงลายมือจะดีกว่า ส่วนศาลจะตัดสินอย่างไรก็แล้วแต่พยานหลักฐาน ขอให้คุณโชคดี
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ผ่านทาง วันที่ตอบ 2012-06-08 23:02:40 IP : 182.93.182.133 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1086895 |